Wednesday 12 December 2007

The Longest Week - First Day - Start Trip

ก็ผ่านไปสำหรับสัปดาห์อันหฤโหดของผม เหนื่อย สนุก เจ็บ มันส์ คละเคล้ากันไป จะแบ่งเขียนตอนละวัน เขียนยาวเกินไปก็กลัวจะขี้เกียจอ่าน แต่ที่จริงแล้วเนื้อหาก็ไม่มีอะไรมากหรอก ทุกวันนั่งอยู่หน้าขวดเหล้าตลอด จบ ฮ่า

วันแรก (Dec 6) ต้องเดินทางขึ้นไปงานแต่งงานพี่ภพ ที่อ.ฝาง ผม กับ ไอ้บอมบ์นัดเจอกันที่บ้านไอ้นัท เริ่มเดินทางกันประมาณสามโมงเช้า แต่ต้องแวะทำธุระที่ธนาคารหลายที่ สิบเอ็ดโมงยังอยู่ที่นวนครอยู่เลย แต่ไม่ซีเรียสกันค่อยๆ เดินทางคงปลอดภัยกว่า พี่ตุ้ง พี่ตา รุ่น31 ก็โทรมาเช็คเรื่อยๆ ว่าถึงไหนกันแล้ว ทั้งคู่ได้ล่วงหน้าไปไกลแล้ว วันนั้นมีขบวนเดินทางไปหลายคัน ทั้งไอ้เบียร์ ไอ้บั้ม รุ่น33 และพี่โหน่ง รุ่น31

มาถึงนครสวรรค์ก็ประมาณบ่ายสอง ก่อนจะแวะกินข้าวอีกครั้ง ไอ้นัทมันขอแวะธนาคารอีกครั้งก่อน ก็นั่งรอกับไอ้บอมบ์ที่น่าธนาคาร เห็นร้านไส้กรอกอีสาน ท่าทางน่ากิน ก็เลยซื้อมานิดหน่อยเพื่อลองชิมดู ทั้งไส้เนื้อและวุ้นเส้น ปรากฏว่าอร่อยดี กินหมดถุงไอ้นัทยังไม่ออกมา บอกไอ้บอมบ์ซื้อมาอีกเยอะๆ เผื่อเอาไว้กินในรถด้วย มันก็ซื้อมากินถุงเบ้อเร่อ ก็นั่งรอไอ้นัทไปกินไป หมดอีกรอบ แต่คราวนี้อิ่มแล้ว อิ่มแบบแน่นท้องเลย เป็นจังหวะเดียวที่ไอ้นัทเสร็จธุระและออกมาพอดี มันบอกรีบไปหากินข้าวดีกว่ามันหิวแล้ว ผมกับไอ้บอมบ์มองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะ แล้วบอกมันว่าอิ่มแล้ว ก็เลยต้องไปนั่งรอไอ้นัทที่ต้องกินข้าวคนเดียว บอกแล้วเพื่อนกินหายาก

ผมกับไอ้นัทเปลี่ยนกันขับรถ แต่ส่วนใหญ่ไอ้นัทจะขับเพราะเอารถไอ้นัทไป ก็มาถึงเชียงใหม่ประมาณหนึ่งทุ่ม แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่ริมกันอีกรอบ ก่อนที่ขับขึ้นเขาอันคดเคี้ยวขึ้นฝางต่อไป มาถึงเชียงใหม่อากาศก็เริ่มหนาวเย็น และเริ่มเย็นขึ้นอีกเมื่อใกล้ถึงฝาง ระยะทางจากฝางถึงเชียงใหม่ก็ประมาณ 140 ก.ม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่งเพราะเส้นทางเป็นเขาคดเคี้ยวและอันตราย ช่วงนี้ เพื่อน พี่ และน้อง ที่ได้เดินทางไปถึงก่อนก็โทรตามเป็นระยะ อยากให้ถึงเร็วๆ โดยเฉพาะพี่ภพ เจ้าบ่าวของงานนี้รอกินเหล้ากับผมอย่างใจจดใจจ่อ

เกือบสี่ทุ่มพวกผมก็ถึงบ้านงาน มีพวกเราเกษตร ม.ช. อยู่กันเยอะมาก ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกัน งานนี้ต้องยกมือไหว้กราดเป็น 360 องศาเหมือนนักมวยเลยทีเดียว ทั้งยกมือไหว้รุ่นพี่ และรับไหว้รุ่นน้อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่น31 32 และ 33 ที่สนิทกันมากเมื่อตอนเรียนด้วยกัน ทั้งเมเจอร์พืชไร่ และสัตวบาล ก็ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันตาประสาพี่น้อง อย่างพี่อ้อย รุ่นพี่พืชไร่ ไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่เรียนจบ คราวนี้ก็หอบหิวน้องอัยย์ลูกสาววัย 5 ขวบมาเที่ยวด้วย พี่เจน รุ่นพี่อีกคนที่สนิทกันและไม่ได้เจอกันนานมาก มารอบนี้พี่เจนไม่ใส่แว่นแล้ว เปลี่ยนมาใส่คอนแทคส์เลน แต่ก็ยังดูน่ารักเหมือนเดิม

ระหว่างที่ทักทายกันอยู่นั้น แก้วเหล้าก็ถูกหยิบยื่นเข้ามาไม่ขาดสาย ชน หมดแก้ว ชน หมดแก้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บรรยากาศเก่าๆ ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เกษตร ว่าแล้วไอ้จอมก็หยิบกีตาร์โซโล โดยมีคนอื่นๆ ช่วยกันร้อง เพลงของคณะเกษตรก็ถูกนำมาเล่นกันอีกครั้ง โดยเฉพาะเพลงทะลึ่งๆ เช่น

“เทวดา หน้าอินทร์ หน้าพรหม จะสุขจะสม ช่างแม่มึงปะไร
ตัวกูไม่ใช่ตัวใคร ไทร์แล้วเอ็นใหม่ เรื่องอะไรของมึง
หนุ่มเกษตร น่ารักน่าชัง หนวดเครารุงรัง สังคังเต็มตัว
พยาบาลจะเอาเป็นผัว เกษตรเล่นตัว ไม่ยอมเป็นผัวพยาบาล...”


ก็ร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน เจ้าบ่าวเองก็เริ่มเมาได้ที ทำท่าจะไหล พวกเราก็เลยชวนกันไปกินต่อที่อื่น เพื่อที่จะได้ให้เจ้าบ่าวพักผ่อน จะได้พร้อมสำหรับงานวันพรุ่งนี้ พวกผู้ชายก็เคลื่อนขบวนไปกินเหล้าต่อ ส่วนกลุ่มผู้หญิงก็ไปพักผ่อนเช่นเดียวกัน พวกผู้ชายก็ไปต่อกันทที่เธคแห่งเดียวของฝาง คือ “ครัวหลวง” ชื่อไม่เหมือนเธคเลย แดนซ์กระจายครับ งานนี้ เต้นได้สุดสวิ้งดิ้งโก้มาก ตอนเช้าตื่นมาอีกวัน คอเคล็ดเลย ปวดเมื่อยไปหมด อย่างนี้ล่ะครับ “วัยคะนอง”

ตอนหน้า มาต่อกันด้วยงานแต่งงานของพี่ภพ

Wednesday 5 December 2007

Long Live the King

วันที่ 5 ธันวาคม ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง เป็นวันที่สำคัญยิ่งของคนไทยทุกคน ทั้งที่อยู่บนผืนแผ่นไทย และอยู่ส่วนอื่นทั่วโลก เป็นวันที่คนไทยมีความปลื้มปิติและมีความสุขอย่างที่สุด นั่นคือเป็น วันคล้ายพระบรมพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน หรือที่คนไทยทุกคนเรียกว่า “พ่อของแผ่นดิน” และปีนี้ก็เป็นปีมหามงคลยิ่งที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา

ในวโรกาสนี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งภาครัฐและเอกชน จะพร้อมใจร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองกันทั่วโลก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แสดงถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนไทยทุกคน ที่มีต่อพระองค์ท่าน โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่แล้วในวโรกาสครบรอบที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ครบ 60 ปี เป็นสองปีที่ได้เห็นภาพปวงพสกนิกรชาวไทยร่วมใจกันใส่เสื้อเหลือง ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ประจำพระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในใจของคนไทยทุกคน

ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงเสด็จออกมาเพื่อให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าชื่มชมพระบารมีร่วมกันถวายพระพรอยู่เสมอ และในแต่ครั้งก็จะมีประชาชนชาวไทยมาเฝ้ารอรับเสด็จกันอย่างเนื่องแน่น ทั้ง เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ที่มาจับจองบริเวณก่อนเวลา เพื่อที่จะได้เฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินผ่าน ชาวไทยทุกคนก็จะพร้อมกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เพื่อถวายพระพรให้แด่พระองค์ กันอย่างกึกก้อง และไม่ขาดสาย เป็นเวลายาวนาน

และในวโรกาสนี้ของแต่ละปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อประชาชนชาวไทยอยู่เสมอ เพื่อให้ประชาชนได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมใช้เป็นแนวทางในการทำงานและเป็นคติการดำรงชีวิต ในปีนี้เช่นเดียวกัน กับช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาความแตกแยก คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แก่งแย่งและมุ่งล้างแค้นกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติแก่คนไทยทุกคน ความว่า “สถานการณ์บ้านเมืองเราในทุกวันนี้ เป็นที่ทราบแก่ใจ ของเราทุกคนที่สุดแล้วว่า ไม่น่าไว้วางใจ พูดได้ว่า หากคนไทยขาดความสำนึกในชาติ ขาดความสามัคคี ก็อาจประสบเคราะห์กรรมกันทั้งชาติ จึงขอให้ทหารทุกคน และชาวไทยทุกคน ทุกหมู่ ทุกเหล่า ได้ พิจารณาตัดสินใจว่า ประเทศชาติของเรานั้นสำคัญ ควรที่เราจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนต่อไปหรือไม่ ถ้าเห็นว่าสำคัญ มั่นใจ ก็ขอให้สังวร ระวังกายใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์สุจริต พยายามลดอคติ และสร้างเสริมความเมตตาสามัคคีในกันและกัน ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้ยึดเอาความปลอดภัยของชาติเป็นที่หมายสูงสุด” เป็นพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านทรงแสดงออกถึง ความวิตกกังวล และความห่วงใย ต่อประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนไทย ของพระองค์ท่าน

ผมได้ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้ว ก็ได้แต่นึกเสียใจ สักกี่ครั้งกันแล้วเชียว ที่พระองค์ท่านต้อง ลำบากพระราชฤหัยกับวิกฤติในชาติบ้านเมือง วิกฤติที่เกิดจากประชาชนที่บอกว่ารักพระองค์ ก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้วิกฤติการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีให้ประเทศไทยกลับมาปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปราศจากสิ่งใดๆ ที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญย์พระราชหฤทัย กับประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ เช่นที่ผ่านมา

และเนื่องในวโรกาสมหามงคลวัน เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีพลานามัยที่สมบูรณ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดกาลนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

Tuesday 27 November 2007

A black knight on a golden Vigo

เรื่องต่อจาก It’s not easy to find some friends for drink

หลังจากที่ผมต้องเผชิญหน้ากับช่วงชีวิตที่ตกอับขั้นสุดขีด คือไม่มีเพื่อนคนใดมากินเบียร์กับผมเลย ทำให้จิตใจรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และสับสนวุ่นวายไปหมด :) “นี่เราไม่มีใครคบเลยเหรอ” ได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง “เหลือใครอีกว่ะ ที่ยังไม่ได้ชวน” ยัง... ยังไม่สิ้นความพยายาม...

“เช้าแล้วพี่ เหล้าก็หมดล่ะ ไปนอนกันเถอะ” ผมชวนอัศวินตัวดำของผม เข้าไปนอนหลับพักผ่อน หลังจากที่ดัมพ์กันมาเกือบค่อนคืน…

ขณะที่พยายามใช้ความคิดเพื่อเค้นหาเพื่อนที่จะชวนมากินเบียร์ด้วยกัน ทันใดก็นึกถึงชายคนหนึ่งเข้ามาในสมอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะบ้านพี่เค้าอยู่ที่ อ.ฝาง โน้นคงมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เอาน่าลองโทรหาแกดูสักหน่อย
“ว่าไง กูอยู่เชียงใหม่ มางานแต่งงานเพื่อน มึงจะขึ้นมาเหรอ”

ในใจนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันพูดอะไร แกก็พูดต่อว่า
“เฮ้ย ไปกินเหล้ากันที่ไหนดีว่ะ มึงหาร้านให้หน่อยดิ หาฟังเพลงเพื่อชีวิต เต้นกันมันส์ๆ นะโว้ย”

เด็ดขาดและชัดเจนจริงๆ สำหรับ ไตรภพ บุญคลี่ หรือ พี่ภพ รุ่น31 เป็นพี่เกลอที่แสนรู้ใจ รู้จักมาตั้งแต่ปี 38 เป็นรุ่นพี่ที่คณะเกษตรฯ อยู่หอเดียวกัน อยู่พืชไร่เหมือนกัน เล่นรักบี้ด้วยกัน และออกค่ายอาสาฯ ด้วยกันตลอด เหลือเพียงอย่างเดียว ยังไม่ตกเป็นของกันและกัน ฮ่า กับพี่ภพก็เคียงบ่าเคียงไหล่กินเหล้าด้วยกันมาอย่างยาวนาน จวบจนทุกวันนี้ ตลอดเวลาที่คบกันมาก็มีเรื่องฮ่าๆ กับแกตลอด ทั้งเรื่องไก่เคเอฟซีครั้งแรกในชีวิตผม หรือเรื่องรถติดหล่มที่บึงบอระเพ็ด แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟัง

เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของพี่ภพ ผมจึงเปลี่ยนแนวจากลานเบียร์เป็นผับเพื่อชีวิต และคงเป็นที่อื่นไม่ได้นอกจาก ร้าน “ตะวันแดง สาดแสงเดือน”
“มีร้านดี เหล้าดี มีเพื่อนดี มีดนตรี ดีด้วย... ช่วยไม่ได้ ต้องดื่มโลก... ดื่มเวลา... ให้สาใจ... ดื่มกันให้... ตะวันแดง... สาดแสงเดือน...”

พี่ภพเป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวดำสนิท ซึ่งผิดวิสัยของคนเหนืออย่างแรง วันนี้แกขับรถวีโก้สีทองคันใหม่มาอวดโฉมด้วย และไม่ได้มาคนเดียว พา น้องโอ ว่าที่เจ้าสาว ซึ่งจะแต่งงานกันวันที่ 7 ธ.ค. นี้ และพี่รา รุ่น31 อดีตครูสอนมวยผมมาด้วย แต่มาเจอกันคราวนี้พี่ราหมดสภาพนักมวยไปแล้วเรียบร้อย
ในค่ำคืนนี้เราสี่คนแดนซ์กันกระจาย โยกคอกันอย่างเมามันส์ ทั้ง คาราวาน คารบาว พงษ์เทพ พงษ์สิทธิ์ ซูซู มาลีฮวนน่า มากันอย่างครบครัน แต่เพลงที่โดนสุดๆ ต้องเป็นเพลงนี้ครับ
“เปรียบกับพี่ เป็นแค่ขอนไม้…” ฮ่าๆ ผมตะโกนร้องเพลงนี้เสียงดังมาก คงได้ยินไปไกลถึงไหนต่อไหน :)

หลังจากร้านปิด เราก็เคลื่อนย้ายขบวนไปกินกันต่อที่บ้านพี่สาวน้องโอ ที่สันทราย พี่รากินต่อไม่ไหว ก็ขอตัวไปนอนก่อน ส่วนน้องโอก็ขอพักผ่อนก่อนเช่นกัน จึงเป็น “สองพี่น้อง” ที่รู้ใจ ดัมพ์เหล้ากันเพียวๆ ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน กินกันจนกระทั่ง

“แสงตะวันสีแดง... สาดส่องไล่แสงเดือน... ที่กำลังลาลับ จากขอบฟ้าไป”

Monday 26 November 2007

It’s not easy to find some friends for drink

บางครั้ง เพื่อนกินก็หายาก...

วันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมามีธุระจำเป็นเกี่ยวกับหลานที่เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้ต้องขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่งแบบกระทันหัน ระหว่างที่ขับรถถึง อ.เถิน จ.ลำปาง ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มอากาศข้างนอกก็เริ่มหนาวเย็น จนต้องหรี่แอร์ในรถลงเพื่อคลายความหนาว บรรยากาศสองข้างทางมืดสนิทตา เห็นแต่แสงไฟของบ้านเรือนชาวบ้านระยิบระยับอยู่ไกลๆ ร่างกายก็ชักอ่อนเพลียเพราะขับรถมาไม่ต่ำกว่าสิบสามชั่วโมงแล้ว เนื่องจากต้องแวะทำงานมาด้วยตลอดทาง ก็คิดไว้ในใจว่าจะแวะหาอะไรกินสักหน่อยที่ตัวอำเภอเถิน ทำให้นึกถึงร้านกาแฟที่ไปแวะกินบ่อยๆ ซึ่งใกล้ๆ กันก็มีร้านข้าวแกงที่พอจะฝากท้องได้เหมือนกัน ขณะที่กำลังนึกเพลินๆ ทันใดนั้นก็..........

...ก็นึกขึ้นได้ว่า เดี๋ยว โทรไปชวนเพื่อนที่เชียงใหม่ ไปกินเที่ยวที่ลานเบียร์กันดีกว่า เพราะลานเบียร์ที่เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวจะมีเสน่ห์ดีนักแล...

อย่างที่บอกไว้ข้างต้นครับ เพื่อนกินไม่ได้หาง่ายเสมอไป หลังจากที่ตั้งใจว่าจะไปถล่มลานเบียร์ที่เชียงใหม่ จึงเริ่มทะยอยโทรหาเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ ทีละคน

เริ่มจากไอ้จอม ประธานรุ่น (แอบยึดอำนาจมา)
"กูก็อยากไปว่ะต๋อง แต่วันนี้พี่อ้อมมา และกูต้องเขียนโครงงานส่งที่ทำงานด้วย เอาไว้วันพรุ่งนี้ได้ไหมว่ะ กูอยากไปจริงๆ ลองชวนไอ้อ้อ ไอ้หมอ ดูดิ
นี่แหละ ลีลาของมัน แต่ก็เข้าใจมันอ่ะนะ แฟนมาหาทั้งที่ต้องให้เวลากันหน่อย

เหยื่อรายต่อไปดีกว่า ไอ้อ้อ ตัวเล็กดำ ผมหยิก แต่ดันใส่คอนแทกซ์เลนสีฟ้า ดูไม่จืดเลย
กูอยู่ที่ปายว่ะต๋อง กูเพิ่งขึ้นมาเมื่อวานนี้เอง อีกสองวันถึงจะกลับ มึงยังอยู่เชียงใหม่หรือเปล่าว่ะ จะได้ไปกินด้วย
เมิงปายทำเชี่ยอะไรที่ปายว่ะ กูขึ้นมาวันเดียวก็ต้องกลับแล้ว

ไม่เป็นไร ไอ้หมอน่าจะอยู่
ตู๊ด ๆ ๆ ๆ
ทำอะไรอยู่ว่ะ ไม่รับสาย

ลองชวน ไอ้ด๊อกเตอร์โจ๊กสิ ได้ข่าวช่วงหลังก็เริ่มกินเบียร์เหมือนกันนี่หว่า
ไม่ไป กูไม่ไป จะไปนั่งตากเหมย (หมอก หรือ น้ำค้าง) ให้หนาวทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบาย ไปซายูริสิ ถ้าไปซายูริ กูจะไปด้วย
ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังมีข้อต่อรองชวนไปเที่ยวอ่างอีกนะ ไอ้ด๊อกเตอร์เวร

เออๆๆ ไอ้เอก ไอ้เอกพวย ต้องว่างแน่เลย
หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
ไปอยู่ไหนของมันว่ะ

เฮ้อ... ได้แต่นั่งถอนหายใจไปขับรถไป ชวนใครอีกว่ะเนี๊ยะ อ้าว..ไอ้หมอ โทรกลับมาพอดีเลย
อ่อ เหรอ กูอยู่ที่จอมทองว่ะต๋อง เมียกูคลอดลูกเดือนที่แล้ว ก็เลยพาเมียมาอยู่บ้านแม่ยายที่จอมทอง มึงขึ้นมาเชียงใหม่เหรอ แล้วไม่มีใครว่างเลยเหรอ
อีกหนึ่งความหวังก็หลุดลอยไป พวกที่เหลือก็แต่งงานแล้วทั้งนั้น คงไม่โทรตามแล้วล่ะ

เซ็ง :(

Wednesday 14 November 2007

Khao Yai

“คือเขาใหญ่ ถิ่นไพรพนา ถิ่นสัตว์สาร่าเริง ล่องลอย มีเสรี มีเกสร ร่อนความงดงาม ตามความฝัน”...

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (Nov 12) มีโอกาสได้ไปเที่ยวเขาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย เพราะช่วงปลายฝนต้นหนาวบนเขาใหญ่อากาศจะดีมาก เดินทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ก็ไปแวะเที่ยวจุดเดิมที่เคยไป เริ่มจาก “น้ำตกเหวนรก” เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีลักษณะเป็นหน้าผาตัดลงมาและมีสายน้ำไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลาทำให้แลดูมีพลังมาก น้ำตกเหวนรกเป็นจุดท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงและทุกคนจะต้องแวะให้ได้ การไปน้ำตกเหวนรกต้องเดินเท้าเข้าไป ซึ่งไม่ไกลมากนัก แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เหนื่อยน่าดู โดยเฉพาะเวลาขาขึ้นมาจากน้ำตก ต้องเดินตามบันใดขึ้นมาก็ชันพอสมควร

หลังจากแวะที่น้ำตกเหวนรกแล้ว ก็ไปเที่ยวต่อที่ “ผาเดียวดาย” ชื่อผาฟังดูเหงามากและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บริเวณผาเดียวดาย ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นบริเวณที่อยู่ลึกลับต้องเดินเท้าเข้าไปเช่นกัน มีลักษณะเป็นหน้าผาหินโล่งซ่อนตัวอยู่ในป่า ที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีอากาศชื้นตลอดทั้งปี สังเกตได้จากคราบตะไคร้น้ำที่จับอยู่ตามโคนต้นไม้ มีมอส และมีเฟิร์น ขึ้นหนาแน่น อากาศวันนี้ก็เย็นสบายทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่สายลมพัดมาสัมผัสผิวกาย ทำให้ถึงกับสะท้านไปทั้งตัวได้เช่นกัน มีสายหมอกให้มองเห็นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว บนจุดชมวิวที่ผาเดียวดาย เราสามารถมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะมองเห็นความอุดมสมบรูณ์ของผืนป่าบนเขาใหญ่ ที่ยังความหนาแน่น ความยิ่งใหญ่ สมกับที่เป็น “มรดกโลก” จริงๆ

ต่อจากนั้นผมก็ไปแวะกินข้าวที่ทำการอุทยานเขาใหญ่ ซึ่งมีการจัดภูมิทัศน์ อาคาร สถานที่ บริเวณที่ทำการได้อย่างสวยงาม บรรยากาศยังกับต่างประเทศเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่กินข้าวก็จะมีกวางขนาดใหญ่หลายตัว เดินไปเดินมาเพื่ออวดโฉมให้กับนักท่องเที่ยว บางคนก็ถือโอกาสถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งหากใครคิดจะค้างคืนที่เขาใหญ่ก็สามารถติดต่อที่พักได้ที่นี้ มีทั้งบ้านพักเป็นหลัง เป็นห้องพัก และกางเต้นท์ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้พัก เพราะต้องเดินทางไปทำงานต่อ

หลังจากกินข้าวก่อนลงจากเขาใหญ่ ก็ไปเที่ยวที่ “น้ำตกเหวสุวัต” ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผาเหมือนน้ำตกเหวนรกแต่มีขนาดเล็กกว่า และการเดินเท้าลงไปน้ำตกก็ใกล้กว่า เมื่อลงไปก็เห็นกองถ่ายละครไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร มาถ่ายทำบริเวณน้ำตกด้วยเจอดาราสามสี่คน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่รู้จัก จึงถ่ายรูปน้ำตกสี่ห้าภาพแล้วก็เดินทางกลับ

หลังจากเดินทางลงมาจากเขาใหญ่ ก็ได้แวะกินสเต็กที่ร้าน “สเต๊กครูต้อ” รู้จักร้านนี้เมื่อคราวมาสัมนาของภาควิชาคอมพิวเตอร์ เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ชิมกระท้อนลอยแก้วแล้วติดใจ ไปกินที่อื่นก็ไม่เหมือนที่ร้านนี้ โอกาสนี้จึงแวะมาชิมอีกครั้ง ซึ่งยังคงความอร่อยเหมือนเดิม

Tuesday 13 November 2007

Charles’s Wedding

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Nov 10) ได้ไปงานแต่งงาน ไอ้ชาญ น้องรุ่น 33 ที่กำแพงเพชร งานนี้เกษตร มช. ไปกันหลายคนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็เฮฮาปาร์ตี้ สนุกสนานกันเต็มที่เหมือนเคย ผมก็ได้ขึ้นไปโชว์ลูกคอเหมือนทุกงานที่ผ่านมา เล่นเอาเสียงแหบไปสองสามวันเหมือนกัน เสียงดีก็อย่างนี้แหละครับ ถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงบ่อย :)

งานนี้ขับรถเดินทางไปจากกรุงเทพ ไปกับไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ต้องออกเดินทางตอนบ่ายโมง ทำให้ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตอนบ่าย ซึ่งอาจารย์มีแบบฝึกหัดให้ทำเก็บคะแนนด้วย ผมจึงวานให้หมิวช่วยทำให้ ปรากฏว่าพอเลิกเรียนตอนเย็นก็โทรมาบอกด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “พี่ต๋อง ขอโทษนะค่ะ ทำได้ 5 เต็ม 10 เองคะ” ก็ได้แต่กัดฟันบอกหมิวกลับไปว่า ไม่เป็นไรแค่ทำให้ก็ดีแล้วล่ะ ได้คะแนนเท่าไหร่ช่างมัน แต่ก็นึกในใจว่า ทำไมได้น้อยจังเลยหนอ (เว่าเล่นเด้อ)

ระหว่างเดินทางไปกำแพงเพชร ไอ้ดามพ์ กับไอ้ดานิเอล เพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งทำงานอยู่ที่นครสวรรค์ ก็ขอนัดเจอกันหน่อย โดยนัดเจอกันที่ร้าน “แซ่บอีหลี” ซึ่งก็สมกับชื่อของร้าน อร่อยจริงๆ ทั้งลาบเป็ด ก้อยเนื้อ ต้มแซ่บเครื่องใน ทำได้รสชาติแบบอีสานขนานแท้เลยทีเดียว ก็แวะกินกันอยู่พักใหญ่ หมดเบียร์ไปเจ็ดขวด ไอ้ดามพ์ ทำท่าจะสั่งเบียร์เพิ่มอีก ไอ้นัท เห็นท่าว่าเดี๋ยวจะยาวเกินไป จึงต้องเบรกไว้ก่อนเพราะยังต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะไปทันงานแต่งงาน

งานนี้ ไตรภพ บุญคลี่ รุ่นพี่รุ่น 31 ที่รู้จักกันและสนิทกันมานานแสนนาน ก็ได้สร้างวีรกรรมอีกแล้ว (เช่นเคย) คือหลังจากงานแต่งก็พากันไปกินเหล้ากันต่อที่ผับแห่งหนึ่ง ไปกันเกือบ 30 คนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง พอประมาณเที่ยงคืนผม ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ พร้อมกับน้องบางส่วน ก็กลับมาดูบอลกันต่อที่โรงแรมก่อน ตอนนั้นเห็น พี่ภพ ก็สนุกสนานดีอยู่จึงไม่ได้ชวนแกกลับด้วยกัน ปล่อยให้แกกลับน้องๆ คนอื่น จากนั้นประมาณตีหนึ่งกว่า ไอ้เชื้อ น้องรุ่น 35 ก็โทรมาบอกว่า “พี่ช่วยโทรหาพี่ภพให้หน่อย ไม่รู้ว่าแกหายตัวไปไหน” ผมก็โทรไตรภพอยู่ห้าครั้ง ไม่มีคนรับสาย แต่ก็บอกกับ ไอ้เชื้อ เอาไว้ถ้าหาไม่เจอยังไงก็ให้โทรมาผมบอกอีกที จะได้ออกไปช่วยหาอีกแรง เป็นห่วงแกเมาแล้วเป็นอย่างงี้ตลอด แต่หลังจากนั้น ไอ้เชื้อ ก็ไม่โทรมาอีก คิดว่าก็คงเจอกันแล้วพอบอลจบก็นอนหลับไปเลย

ปรากฏว่าตอนสายๆ วันรุ่งขึ้น พอออกมากินกาแฟกันที่หน้าโรงแรม เห็นไตรภพนั่งหน้าหงิก ทำท่างอนใส่ ก็ถามแกว่า เป็นไรพี่ ทำท่าไม่ยอมคุยด้วยอยู่พักนึง จึงซื้อเบียร์มาให้แกกิน แกถึงยอมคุยด้วย แล้วแกก็เล่าว่า พอแกไม่เห็นพวกผม ที่ออกมาดูบอลก่อน แกก็เลยออกมาโทรศัพท์ที่ศาลาหน้าผับ แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ตีสี่กว่าแล้ว ปรากฏว่าไม่เหลือใครเลย โทรมาหาผมก็ไม่ยอมรับสาย คิดว่าคงพึ่งใครไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเดินกลับมาที่โรงแรม กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะด้วยความสะใจและสมน้ำหน้าแก ก็ แหม!!! จากผับมาถึงโรงแรมก็เกือบห้ากิโล ไกลเหมือนกัน สงสัยจะลดน้ำหนักเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว และซ้อมเดินแห่ขันหมากไว้มั้ง 555

ไตรภพ บุญคลี่ แล้วเจอกันวันงานแต่งงานเด้อ (Dec 7)