Wednesday 12 December 2007

The Longest Week - First Day - Start Trip

ก็ผ่านไปสำหรับสัปดาห์อันหฤโหดของผม เหนื่อย สนุก เจ็บ มันส์ คละเคล้ากันไป จะแบ่งเขียนตอนละวัน เขียนยาวเกินไปก็กลัวจะขี้เกียจอ่าน แต่ที่จริงแล้วเนื้อหาก็ไม่มีอะไรมากหรอก ทุกวันนั่งอยู่หน้าขวดเหล้าตลอด จบ ฮ่า

วันแรก (Dec 6) ต้องเดินทางขึ้นไปงานแต่งงานพี่ภพ ที่อ.ฝาง ผม กับ ไอ้บอมบ์นัดเจอกันที่บ้านไอ้นัท เริ่มเดินทางกันประมาณสามโมงเช้า แต่ต้องแวะทำธุระที่ธนาคารหลายที่ สิบเอ็ดโมงยังอยู่ที่นวนครอยู่เลย แต่ไม่ซีเรียสกันค่อยๆ เดินทางคงปลอดภัยกว่า พี่ตุ้ง พี่ตา รุ่น31 ก็โทรมาเช็คเรื่อยๆ ว่าถึงไหนกันแล้ว ทั้งคู่ได้ล่วงหน้าไปไกลแล้ว วันนั้นมีขบวนเดินทางไปหลายคัน ทั้งไอ้เบียร์ ไอ้บั้ม รุ่น33 และพี่โหน่ง รุ่น31

มาถึงนครสวรรค์ก็ประมาณบ่ายสอง ก่อนจะแวะกินข้าวอีกครั้ง ไอ้นัทมันขอแวะธนาคารอีกครั้งก่อน ก็นั่งรอกับไอ้บอมบ์ที่น่าธนาคาร เห็นร้านไส้กรอกอีสาน ท่าทางน่ากิน ก็เลยซื้อมานิดหน่อยเพื่อลองชิมดู ทั้งไส้เนื้อและวุ้นเส้น ปรากฏว่าอร่อยดี กินหมดถุงไอ้นัทยังไม่ออกมา บอกไอ้บอมบ์ซื้อมาอีกเยอะๆ เผื่อเอาไว้กินในรถด้วย มันก็ซื้อมากินถุงเบ้อเร่อ ก็นั่งรอไอ้นัทไปกินไป หมดอีกรอบ แต่คราวนี้อิ่มแล้ว อิ่มแบบแน่นท้องเลย เป็นจังหวะเดียวที่ไอ้นัทเสร็จธุระและออกมาพอดี มันบอกรีบไปหากินข้าวดีกว่ามันหิวแล้ว ผมกับไอ้บอมบ์มองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะ แล้วบอกมันว่าอิ่มแล้ว ก็เลยต้องไปนั่งรอไอ้นัทที่ต้องกินข้าวคนเดียว บอกแล้วเพื่อนกินหายาก

ผมกับไอ้นัทเปลี่ยนกันขับรถ แต่ส่วนใหญ่ไอ้นัทจะขับเพราะเอารถไอ้นัทไป ก็มาถึงเชียงใหม่ประมาณหนึ่งทุ่ม แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่ริมกันอีกรอบ ก่อนที่ขับขึ้นเขาอันคดเคี้ยวขึ้นฝางต่อไป มาถึงเชียงใหม่อากาศก็เริ่มหนาวเย็น และเริ่มเย็นขึ้นอีกเมื่อใกล้ถึงฝาง ระยะทางจากฝางถึงเชียงใหม่ก็ประมาณ 140 ก.ม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่งเพราะเส้นทางเป็นเขาคดเคี้ยวและอันตราย ช่วงนี้ เพื่อน พี่ และน้อง ที่ได้เดินทางไปถึงก่อนก็โทรตามเป็นระยะ อยากให้ถึงเร็วๆ โดยเฉพาะพี่ภพ เจ้าบ่าวของงานนี้รอกินเหล้ากับผมอย่างใจจดใจจ่อ

เกือบสี่ทุ่มพวกผมก็ถึงบ้านงาน มีพวกเราเกษตร ม.ช. อยู่กันเยอะมาก ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกัน งานนี้ต้องยกมือไหว้กราดเป็น 360 องศาเหมือนนักมวยเลยทีเดียว ทั้งยกมือไหว้รุ่นพี่ และรับไหว้รุ่นน้อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่น31 32 และ 33 ที่สนิทกันมากเมื่อตอนเรียนด้วยกัน ทั้งเมเจอร์พืชไร่ และสัตวบาล ก็ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันตาประสาพี่น้อง อย่างพี่อ้อย รุ่นพี่พืชไร่ ไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่เรียนจบ คราวนี้ก็หอบหิวน้องอัยย์ลูกสาววัย 5 ขวบมาเที่ยวด้วย พี่เจน รุ่นพี่อีกคนที่สนิทกันและไม่ได้เจอกันนานมาก มารอบนี้พี่เจนไม่ใส่แว่นแล้ว เปลี่ยนมาใส่คอนแทคส์เลน แต่ก็ยังดูน่ารักเหมือนเดิม

ระหว่างที่ทักทายกันอยู่นั้น แก้วเหล้าก็ถูกหยิบยื่นเข้ามาไม่ขาดสาย ชน หมดแก้ว ชน หมดแก้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บรรยากาศเก่าๆ ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เกษตร ว่าแล้วไอ้จอมก็หยิบกีตาร์โซโล โดยมีคนอื่นๆ ช่วยกันร้อง เพลงของคณะเกษตรก็ถูกนำมาเล่นกันอีกครั้ง โดยเฉพาะเพลงทะลึ่งๆ เช่น

“เทวดา หน้าอินทร์ หน้าพรหม จะสุขจะสม ช่างแม่มึงปะไร
ตัวกูไม่ใช่ตัวใคร ไทร์แล้วเอ็นใหม่ เรื่องอะไรของมึง
หนุ่มเกษตร น่ารักน่าชัง หนวดเครารุงรัง สังคังเต็มตัว
พยาบาลจะเอาเป็นผัว เกษตรเล่นตัว ไม่ยอมเป็นผัวพยาบาล...”


ก็ร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน เจ้าบ่าวเองก็เริ่มเมาได้ที ทำท่าจะไหล พวกเราก็เลยชวนกันไปกินต่อที่อื่น เพื่อที่จะได้ให้เจ้าบ่าวพักผ่อน จะได้พร้อมสำหรับงานวันพรุ่งนี้ พวกผู้ชายก็เคลื่อนขบวนไปกินเหล้าต่อ ส่วนกลุ่มผู้หญิงก็ไปพักผ่อนเช่นเดียวกัน พวกผู้ชายก็ไปต่อกันทที่เธคแห่งเดียวของฝาง คือ “ครัวหลวง” ชื่อไม่เหมือนเธคเลย แดนซ์กระจายครับ งานนี้ เต้นได้สุดสวิ้งดิ้งโก้มาก ตอนเช้าตื่นมาอีกวัน คอเคล็ดเลย ปวดเมื่อยไปหมด อย่างนี้ล่ะครับ “วัยคะนอง”

ตอนหน้า มาต่อกันด้วยงานแต่งงานของพี่ภพ

Wednesday 5 December 2007

Long Live the King

วันที่ 5 ธันวาคม ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง เป็นวันที่สำคัญยิ่งของคนไทยทุกคน ทั้งที่อยู่บนผืนแผ่นไทย และอยู่ส่วนอื่นทั่วโลก เป็นวันที่คนไทยมีความปลื้มปิติและมีความสุขอย่างที่สุด นั่นคือเป็น วันคล้ายพระบรมพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน หรือที่คนไทยทุกคนเรียกว่า “พ่อของแผ่นดิน” และปีนี้ก็เป็นปีมหามงคลยิ่งที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา

ในวโรกาสนี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งภาครัฐและเอกชน จะพร้อมใจร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองกันทั่วโลก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แสดงถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนไทยทุกคน ที่มีต่อพระองค์ท่าน โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่แล้วในวโรกาสครบรอบที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ครบ 60 ปี เป็นสองปีที่ได้เห็นภาพปวงพสกนิกรชาวไทยร่วมใจกันใส่เสื้อเหลือง ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ประจำพระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในใจของคนไทยทุกคน

ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงเสด็จออกมาเพื่อให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าชื่มชมพระบารมีร่วมกันถวายพระพรอยู่เสมอ และในแต่ครั้งก็จะมีประชาชนชาวไทยมาเฝ้ารอรับเสด็จกันอย่างเนื่องแน่น ทั้ง เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ที่มาจับจองบริเวณก่อนเวลา เพื่อที่จะได้เฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินผ่าน ชาวไทยทุกคนก็จะพร้อมกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เพื่อถวายพระพรให้แด่พระองค์ กันอย่างกึกก้อง และไม่ขาดสาย เป็นเวลายาวนาน

และในวโรกาสนี้ของแต่ละปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อประชาชนชาวไทยอยู่เสมอ เพื่อให้ประชาชนได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมใช้เป็นแนวทางในการทำงานและเป็นคติการดำรงชีวิต ในปีนี้เช่นเดียวกัน กับช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาความแตกแยก คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แก่งแย่งและมุ่งล้างแค้นกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติแก่คนไทยทุกคน ความว่า “สถานการณ์บ้านเมืองเราในทุกวันนี้ เป็นที่ทราบแก่ใจ ของเราทุกคนที่สุดแล้วว่า ไม่น่าไว้วางใจ พูดได้ว่า หากคนไทยขาดความสำนึกในชาติ ขาดความสามัคคี ก็อาจประสบเคราะห์กรรมกันทั้งชาติ จึงขอให้ทหารทุกคน และชาวไทยทุกคน ทุกหมู่ ทุกเหล่า ได้ พิจารณาตัดสินใจว่า ประเทศชาติของเรานั้นสำคัญ ควรที่เราจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนต่อไปหรือไม่ ถ้าเห็นว่าสำคัญ มั่นใจ ก็ขอให้สังวร ระวังกายใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์สุจริต พยายามลดอคติ และสร้างเสริมความเมตตาสามัคคีในกันและกัน ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้ยึดเอาความปลอดภัยของชาติเป็นที่หมายสูงสุด” เป็นพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านทรงแสดงออกถึง ความวิตกกังวล และความห่วงใย ต่อประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนไทย ของพระองค์ท่าน

ผมได้ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้ว ก็ได้แต่นึกเสียใจ สักกี่ครั้งกันแล้วเชียว ที่พระองค์ท่านต้อง ลำบากพระราชฤหัยกับวิกฤติในชาติบ้านเมือง วิกฤติที่เกิดจากประชาชนที่บอกว่ารักพระองค์ ก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้วิกฤติการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีให้ประเทศไทยกลับมาปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปราศจากสิ่งใดๆ ที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญย์พระราชหฤทัย กับประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ เช่นที่ผ่านมา

และเนื่องในวโรกาสมหามงคลวัน เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีพลานามัยที่สมบูรณ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดกาลนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

Tuesday 27 November 2007

A black knight on a golden Vigo

เรื่องต่อจาก It’s not easy to find some friends for drink

หลังจากที่ผมต้องเผชิญหน้ากับช่วงชีวิตที่ตกอับขั้นสุดขีด คือไม่มีเพื่อนคนใดมากินเบียร์กับผมเลย ทำให้จิตใจรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และสับสนวุ่นวายไปหมด :) “นี่เราไม่มีใครคบเลยเหรอ” ได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง “เหลือใครอีกว่ะ ที่ยังไม่ได้ชวน” ยัง... ยังไม่สิ้นความพยายาม...

“เช้าแล้วพี่ เหล้าก็หมดล่ะ ไปนอนกันเถอะ” ผมชวนอัศวินตัวดำของผม เข้าไปนอนหลับพักผ่อน หลังจากที่ดัมพ์กันมาเกือบค่อนคืน…

ขณะที่พยายามใช้ความคิดเพื่อเค้นหาเพื่อนที่จะชวนมากินเบียร์ด้วยกัน ทันใดก็นึกถึงชายคนหนึ่งเข้ามาในสมอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะบ้านพี่เค้าอยู่ที่ อ.ฝาง โน้นคงมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เอาน่าลองโทรหาแกดูสักหน่อย
“ว่าไง กูอยู่เชียงใหม่ มางานแต่งงานเพื่อน มึงจะขึ้นมาเหรอ”

ในใจนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันพูดอะไร แกก็พูดต่อว่า
“เฮ้ย ไปกินเหล้ากันที่ไหนดีว่ะ มึงหาร้านให้หน่อยดิ หาฟังเพลงเพื่อชีวิต เต้นกันมันส์ๆ นะโว้ย”

เด็ดขาดและชัดเจนจริงๆ สำหรับ ไตรภพ บุญคลี่ หรือ พี่ภพ รุ่น31 เป็นพี่เกลอที่แสนรู้ใจ รู้จักมาตั้งแต่ปี 38 เป็นรุ่นพี่ที่คณะเกษตรฯ อยู่หอเดียวกัน อยู่พืชไร่เหมือนกัน เล่นรักบี้ด้วยกัน และออกค่ายอาสาฯ ด้วยกันตลอด เหลือเพียงอย่างเดียว ยังไม่ตกเป็นของกันและกัน ฮ่า กับพี่ภพก็เคียงบ่าเคียงไหล่กินเหล้าด้วยกันมาอย่างยาวนาน จวบจนทุกวันนี้ ตลอดเวลาที่คบกันมาก็มีเรื่องฮ่าๆ กับแกตลอด ทั้งเรื่องไก่เคเอฟซีครั้งแรกในชีวิตผม หรือเรื่องรถติดหล่มที่บึงบอระเพ็ด แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟัง

เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของพี่ภพ ผมจึงเปลี่ยนแนวจากลานเบียร์เป็นผับเพื่อชีวิต และคงเป็นที่อื่นไม่ได้นอกจาก ร้าน “ตะวันแดง สาดแสงเดือน”
“มีร้านดี เหล้าดี มีเพื่อนดี มีดนตรี ดีด้วย... ช่วยไม่ได้ ต้องดื่มโลก... ดื่มเวลา... ให้สาใจ... ดื่มกันให้... ตะวันแดง... สาดแสงเดือน...”

พี่ภพเป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวดำสนิท ซึ่งผิดวิสัยของคนเหนืออย่างแรง วันนี้แกขับรถวีโก้สีทองคันใหม่มาอวดโฉมด้วย และไม่ได้มาคนเดียว พา น้องโอ ว่าที่เจ้าสาว ซึ่งจะแต่งงานกันวันที่ 7 ธ.ค. นี้ และพี่รา รุ่น31 อดีตครูสอนมวยผมมาด้วย แต่มาเจอกันคราวนี้พี่ราหมดสภาพนักมวยไปแล้วเรียบร้อย
ในค่ำคืนนี้เราสี่คนแดนซ์กันกระจาย โยกคอกันอย่างเมามันส์ ทั้ง คาราวาน คารบาว พงษ์เทพ พงษ์สิทธิ์ ซูซู มาลีฮวนน่า มากันอย่างครบครัน แต่เพลงที่โดนสุดๆ ต้องเป็นเพลงนี้ครับ
“เปรียบกับพี่ เป็นแค่ขอนไม้…” ฮ่าๆ ผมตะโกนร้องเพลงนี้เสียงดังมาก คงได้ยินไปไกลถึงไหนต่อไหน :)

หลังจากร้านปิด เราก็เคลื่อนย้ายขบวนไปกินกันต่อที่บ้านพี่สาวน้องโอ ที่สันทราย พี่รากินต่อไม่ไหว ก็ขอตัวไปนอนก่อน ส่วนน้องโอก็ขอพักผ่อนก่อนเช่นกัน จึงเป็น “สองพี่น้อง” ที่รู้ใจ ดัมพ์เหล้ากันเพียวๆ ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน กินกันจนกระทั่ง

“แสงตะวันสีแดง... สาดส่องไล่แสงเดือน... ที่กำลังลาลับ จากขอบฟ้าไป”

Monday 26 November 2007

It’s not easy to find some friends for drink

บางครั้ง เพื่อนกินก็หายาก...

วันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมามีธุระจำเป็นเกี่ยวกับหลานที่เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้ต้องขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่งแบบกระทันหัน ระหว่างที่ขับรถถึง อ.เถิน จ.ลำปาง ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มอากาศข้างนอกก็เริ่มหนาวเย็น จนต้องหรี่แอร์ในรถลงเพื่อคลายความหนาว บรรยากาศสองข้างทางมืดสนิทตา เห็นแต่แสงไฟของบ้านเรือนชาวบ้านระยิบระยับอยู่ไกลๆ ร่างกายก็ชักอ่อนเพลียเพราะขับรถมาไม่ต่ำกว่าสิบสามชั่วโมงแล้ว เนื่องจากต้องแวะทำงานมาด้วยตลอดทาง ก็คิดไว้ในใจว่าจะแวะหาอะไรกินสักหน่อยที่ตัวอำเภอเถิน ทำให้นึกถึงร้านกาแฟที่ไปแวะกินบ่อยๆ ซึ่งใกล้ๆ กันก็มีร้านข้าวแกงที่พอจะฝากท้องได้เหมือนกัน ขณะที่กำลังนึกเพลินๆ ทันใดนั้นก็..........

...ก็นึกขึ้นได้ว่า เดี๋ยว โทรไปชวนเพื่อนที่เชียงใหม่ ไปกินเที่ยวที่ลานเบียร์กันดีกว่า เพราะลานเบียร์ที่เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวจะมีเสน่ห์ดีนักแล...

อย่างที่บอกไว้ข้างต้นครับ เพื่อนกินไม่ได้หาง่ายเสมอไป หลังจากที่ตั้งใจว่าจะไปถล่มลานเบียร์ที่เชียงใหม่ จึงเริ่มทะยอยโทรหาเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ ทีละคน

เริ่มจากไอ้จอม ประธานรุ่น (แอบยึดอำนาจมา)
"กูก็อยากไปว่ะต๋อง แต่วันนี้พี่อ้อมมา และกูต้องเขียนโครงงานส่งที่ทำงานด้วย เอาไว้วันพรุ่งนี้ได้ไหมว่ะ กูอยากไปจริงๆ ลองชวนไอ้อ้อ ไอ้หมอ ดูดิ
นี่แหละ ลีลาของมัน แต่ก็เข้าใจมันอ่ะนะ แฟนมาหาทั้งที่ต้องให้เวลากันหน่อย

เหยื่อรายต่อไปดีกว่า ไอ้อ้อ ตัวเล็กดำ ผมหยิก แต่ดันใส่คอนแทกซ์เลนสีฟ้า ดูไม่จืดเลย
กูอยู่ที่ปายว่ะต๋อง กูเพิ่งขึ้นมาเมื่อวานนี้เอง อีกสองวันถึงจะกลับ มึงยังอยู่เชียงใหม่หรือเปล่าว่ะ จะได้ไปกินด้วย
เมิงปายทำเชี่ยอะไรที่ปายว่ะ กูขึ้นมาวันเดียวก็ต้องกลับแล้ว

ไม่เป็นไร ไอ้หมอน่าจะอยู่
ตู๊ด ๆ ๆ ๆ
ทำอะไรอยู่ว่ะ ไม่รับสาย

ลองชวน ไอ้ด๊อกเตอร์โจ๊กสิ ได้ข่าวช่วงหลังก็เริ่มกินเบียร์เหมือนกันนี่หว่า
ไม่ไป กูไม่ไป จะไปนั่งตากเหมย (หมอก หรือ น้ำค้าง) ให้หนาวทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบาย ไปซายูริสิ ถ้าไปซายูริ กูจะไปด้วย
ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังมีข้อต่อรองชวนไปเที่ยวอ่างอีกนะ ไอ้ด๊อกเตอร์เวร

เออๆๆ ไอ้เอก ไอ้เอกพวย ต้องว่างแน่เลย
หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
ไปอยู่ไหนของมันว่ะ

เฮ้อ... ได้แต่นั่งถอนหายใจไปขับรถไป ชวนใครอีกว่ะเนี๊ยะ อ้าว..ไอ้หมอ โทรกลับมาพอดีเลย
อ่อ เหรอ กูอยู่ที่จอมทองว่ะต๋อง เมียกูคลอดลูกเดือนที่แล้ว ก็เลยพาเมียมาอยู่บ้านแม่ยายที่จอมทอง มึงขึ้นมาเชียงใหม่เหรอ แล้วไม่มีใครว่างเลยเหรอ
อีกหนึ่งความหวังก็หลุดลอยไป พวกที่เหลือก็แต่งงานแล้วทั้งนั้น คงไม่โทรตามแล้วล่ะ

เซ็ง :(

Wednesday 14 November 2007

Khao Yai

“คือเขาใหญ่ ถิ่นไพรพนา ถิ่นสัตว์สาร่าเริง ล่องลอย มีเสรี มีเกสร ร่อนความงดงาม ตามความฝัน”...

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (Nov 12) มีโอกาสได้ไปเที่ยวเขาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย เพราะช่วงปลายฝนต้นหนาวบนเขาใหญ่อากาศจะดีมาก เดินทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ก็ไปแวะเที่ยวจุดเดิมที่เคยไป เริ่มจาก “น้ำตกเหวนรก” เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีลักษณะเป็นหน้าผาตัดลงมาและมีสายน้ำไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลาทำให้แลดูมีพลังมาก น้ำตกเหวนรกเป็นจุดท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงและทุกคนจะต้องแวะให้ได้ การไปน้ำตกเหวนรกต้องเดินเท้าเข้าไป ซึ่งไม่ไกลมากนัก แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เหนื่อยน่าดู โดยเฉพาะเวลาขาขึ้นมาจากน้ำตก ต้องเดินตามบันใดขึ้นมาก็ชันพอสมควร

หลังจากแวะที่น้ำตกเหวนรกแล้ว ก็ไปเที่ยวต่อที่ “ผาเดียวดาย” ชื่อผาฟังดูเหงามากและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บริเวณผาเดียวดาย ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นบริเวณที่อยู่ลึกลับต้องเดินเท้าเข้าไปเช่นกัน มีลักษณะเป็นหน้าผาหินโล่งซ่อนตัวอยู่ในป่า ที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีอากาศชื้นตลอดทั้งปี สังเกตได้จากคราบตะไคร้น้ำที่จับอยู่ตามโคนต้นไม้ มีมอส และมีเฟิร์น ขึ้นหนาแน่น อากาศวันนี้ก็เย็นสบายทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่สายลมพัดมาสัมผัสผิวกาย ทำให้ถึงกับสะท้านไปทั้งตัวได้เช่นกัน มีสายหมอกให้มองเห็นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว บนจุดชมวิวที่ผาเดียวดาย เราสามารถมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะมองเห็นความอุดมสมบรูณ์ของผืนป่าบนเขาใหญ่ ที่ยังความหนาแน่น ความยิ่งใหญ่ สมกับที่เป็น “มรดกโลก” จริงๆ

ต่อจากนั้นผมก็ไปแวะกินข้าวที่ทำการอุทยานเขาใหญ่ ซึ่งมีการจัดภูมิทัศน์ อาคาร สถานที่ บริเวณที่ทำการได้อย่างสวยงาม บรรยากาศยังกับต่างประเทศเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่กินข้าวก็จะมีกวางขนาดใหญ่หลายตัว เดินไปเดินมาเพื่ออวดโฉมให้กับนักท่องเที่ยว บางคนก็ถือโอกาสถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งหากใครคิดจะค้างคืนที่เขาใหญ่ก็สามารถติดต่อที่พักได้ที่นี้ มีทั้งบ้านพักเป็นหลัง เป็นห้องพัก และกางเต้นท์ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้พัก เพราะต้องเดินทางไปทำงานต่อ

หลังจากกินข้าวก่อนลงจากเขาใหญ่ ก็ไปเที่ยวที่ “น้ำตกเหวสุวัต” ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผาเหมือนน้ำตกเหวนรกแต่มีขนาดเล็กกว่า และการเดินเท้าลงไปน้ำตกก็ใกล้กว่า เมื่อลงไปก็เห็นกองถ่ายละครไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร มาถ่ายทำบริเวณน้ำตกด้วยเจอดาราสามสี่คน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่รู้จัก จึงถ่ายรูปน้ำตกสี่ห้าภาพแล้วก็เดินทางกลับ

หลังจากเดินทางลงมาจากเขาใหญ่ ก็ได้แวะกินสเต็กที่ร้าน “สเต๊กครูต้อ” รู้จักร้านนี้เมื่อคราวมาสัมนาของภาควิชาคอมพิวเตอร์ เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ชิมกระท้อนลอยแก้วแล้วติดใจ ไปกินที่อื่นก็ไม่เหมือนที่ร้านนี้ โอกาสนี้จึงแวะมาชิมอีกครั้ง ซึ่งยังคงความอร่อยเหมือนเดิม

Tuesday 13 November 2007

Charles’s Wedding

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Nov 10) ได้ไปงานแต่งงาน ไอ้ชาญ น้องรุ่น 33 ที่กำแพงเพชร งานนี้เกษตร มช. ไปกันหลายคนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็เฮฮาปาร์ตี้ สนุกสนานกันเต็มที่เหมือนเคย ผมก็ได้ขึ้นไปโชว์ลูกคอเหมือนทุกงานที่ผ่านมา เล่นเอาเสียงแหบไปสองสามวันเหมือนกัน เสียงดีก็อย่างนี้แหละครับ ถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงบ่อย :)

งานนี้ขับรถเดินทางไปจากกรุงเทพ ไปกับไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ต้องออกเดินทางตอนบ่ายโมง ทำให้ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตอนบ่าย ซึ่งอาจารย์มีแบบฝึกหัดให้ทำเก็บคะแนนด้วย ผมจึงวานให้หมิวช่วยทำให้ ปรากฏว่าพอเลิกเรียนตอนเย็นก็โทรมาบอกด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “พี่ต๋อง ขอโทษนะค่ะ ทำได้ 5 เต็ม 10 เองคะ” ก็ได้แต่กัดฟันบอกหมิวกลับไปว่า ไม่เป็นไรแค่ทำให้ก็ดีแล้วล่ะ ได้คะแนนเท่าไหร่ช่างมัน แต่ก็นึกในใจว่า ทำไมได้น้อยจังเลยหนอ (เว่าเล่นเด้อ)

ระหว่างเดินทางไปกำแพงเพชร ไอ้ดามพ์ กับไอ้ดานิเอล เพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งทำงานอยู่ที่นครสวรรค์ ก็ขอนัดเจอกันหน่อย โดยนัดเจอกันที่ร้าน “แซ่บอีหลี” ซึ่งก็สมกับชื่อของร้าน อร่อยจริงๆ ทั้งลาบเป็ด ก้อยเนื้อ ต้มแซ่บเครื่องใน ทำได้รสชาติแบบอีสานขนานแท้เลยทีเดียว ก็แวะกินกันอยู่พักใหญ่ หมดเบียร์ไปเจ็ดขวด ไอ้ดามพ์ ทำท่าจะสั่งเบียร์เพิ่มอีก ไอ้นัท เห็นท่าว่าเดี๋ยวจะยาวเกินไป จึงต้องเบรกไว้ก่อนเพราะยังต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะไปทันงานแต่งงาน

งานนี้ ไตรภพ บุญคลี่ รุ่นพี่รุ่น 31 ที่รู้จักกันและสนิทกันมานานแสนนาน ก็ได้สร้างวีรกรรมอีกแล้ว (เช่นเคย) คือหลังจากงานแต่งก็พากันไปกินเหล้ากันต่อที่ผับแห่งหนึ่ง ไปกันเกือบ 30 คนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง พอประมาณเที่ยงคืนผม ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ พร้อมกับน้องบางส่วน ก็กลับมาดูบอลกันต่อที่โรงแรมก่อน ตอนนั้นเห็น พี่ภพ ก็สนุกสนานดีอยู่จึงไม่ได้ชวนแกกลับด้วยกัน ปล่อยให้แกกลับน้องๆ คนอื่น จากนั้นประมาณตีหนึ่งกว่า ไอ้เชื้อ น้องรุ่น 35 ก็โทรมาบอกว่า “พี่ช่วยโทรหาพี่ภพให้หน่อย ไม่รู้ว่าแกหายตัวไปไหน” ผมก็โทรไตรภพอยู่ห้าครั้ง ไม่มีคนรับสาย แต่ก็บอกกับ ไอ้เชื้อ เอาไว้ถ้าหาไม่เจอยังไงก็ให้โทรมาผมบอกอีกที จะได้ออกไปช่วยหาอีกแรง เป็นห่วงแกเมาแล้วเป็นอย่างงี้ตลอด แต่หลังจากนั้น ไอ้เชื้อ ก็ไม่โทรมาอีก คิดว่าก็คงเจอกันแล้วพอบอลจบก็นอนหลับไปเลย

ปรากฏว่าตอนสายๆ วันรุ่งขึ้น พอออกมากินกาแฟกันที่หน้าโรงแรม เห็นไตรภพนั่งหน้าหงิก ทำท่างอนใส่ ก็ถามแกว่า เป็นไรพี่ ทำท่าไม่ยอมคุยด้วยอยู่พักนึง จึงซื้อเบียร์มาให้แกกิน แกถึงยอมคุยด้วย แล้วแกก็เล่าว่า พอแกไม่เห็นพวกผม ที่ออกมาดูบอลก่อน แกก็เลยออกมาโทรศัพท์ที่ศาลาหน้าผับ แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ตีสี่กว่าแล้ว ปรากฏว่าไม่เหลือใครเลย โทรมาหาผมก็ไม่ยอมรับสาย คิดว่าคงพึ่งใครไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเดินกลับมาที่โรงแรม กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะด้วยความสะใจและสมน้ำหน้าแก ก็ แหม!!! จากผับมาถึงโรงแรมก็เกือบห้ากิโล ไกลเหมือนกัน สงสัยจะลดน้ำหนักเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว และซ้อมเดินแห่ขันหมากไว้มั้ง 555

ไตรภพ บุญคลี่ แล้วเจอกันวันงานแต่งงานเด้อ (Dec 7)

Wednesday 7 November 2007

วิธีการคำนวณสูตรปุ๋ย

พอดีช่วงนี้ต้องคำนวณสูตรปุ๋ยบ่อยๆ จึงคิดว่าควรเขียนลงบล๊อกไว้ด้วยดีกว่า เผื่อจะมีประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป

ปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารหลักอยู่ 3 ธาตุด้วยกันคือ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ซึ่งจะแสดงไว้ในสูตรปุ๋ยเป็นลำดับของตัวเลขสามชุด เช่น 16-16-8 หมายถึงปุ๋ยเคมีที่มี ไนโตรเจน 16% มีฟอสฟอรัส 16% และโพแทสเซียม 8% ตามลำดับ และธาตุอาหารหลักทั้ง 3 ธาตุ สามารถได้จากแม่ปุ๋ยดังต่อไปนี้

ยูเรีย (Urea) 46-0-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุไนโตรเจน
แดป (Di-Ammonium Phosphate - DAP) 18-46-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุฟอสฟอรัส
มอป (Muriate of Potash - MOP) 0-0-60 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุโพแทสเซียม

หากเราต้องการนำแม่ปุ๋ยทั้งสามตัวมาผสมกันเพื่อให้ได้สูตร 16-16-8 จำนวน 100 กก. สามารถคำนวณได้ดังนี้

1. คำนวณหาปริมาณของ แดป ที่ต้องใช้

สาเหตุที่ต้องคำนวณหาปริมาณของแดปก่อน เนื่องจากแดปเป็นแม่ปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารมากกว่าหนึ่งตัว คือ ให้ทั้ง ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน
จากสูตรแม่ปุ๋ยของแดป 18-46-0 หมายความว่า แดป 100 กก. ให้ฟอสฟอรัส 46 กก. และให้ไนโตรเจน 18 กก.
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการฟอสฟอรัสเพียง 16 กก. ดังนั้นต้องใช้ แดป เท่ากับ (100 x 16)/46 = 34.78 กก.
แต่เนื่องจาก แดป มีปริมาณของไนโตรเจนด้วย ดังนั้นเราต้องคำนวณด้วยว่า ใน แดป 34.78 กก. จะมีไนโตรเจนเป็นปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
แดป 100 กก.ให้ไนโตรเจน 18 กก. ดังนั้น แดป 34.78 กก. จะให้ไนโตรเจน เท่ากับ (18 x 34.78)/100 = 6.26 กก.

2. คำนวณหาปริมาณของ ยูเรีย ที่ต้องใช้
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการไนโตรเจนเพียง 16 กก. แต่เนื่องจากเราได้ไนโตรเจนส่วนหนึ่งมาจากแดปแล้วคือ 6.26 กก. เราจึงต้องการไนโตรเจนเพิ่มเติมอีกเพียง 16 - 6.26 = 9.74 กก.
จากสูตรแม่ปุ๋ยของยูเรีย 46-0-0 หมายความว่า ยูเรีย 100 กก. ให้ไนโตรเจน 46 กก.
แต่ในขณะนี้เราต้องการไนโตรเจนแค่ 9.74 กก. ดังนั้นต้องใช้ ยูเรีย เท่ากับ (100 x 9.74)/46 = 21.17 กก.

3. คำนวณหาปริมาณของ มอป ที่ต้องใช้

จากสูตรแม่ปุ๋ยของมอป 0-0-60 หมายความว่า มอป 100 กก. ให้โพแทสเซียม 60 กก.
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการโพแทสเซียมเพียง 8 กก. ดังนั้นต้องใช้ มอป เท่ากับ (100 x 8)/60 = 13.33 กก.

สรุป ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 เราต้องใช้แม่ปุ๋ยดังนี้
ใช้ ยูเรีย ปริมาณเท่ากับ 21.17 กก.
ใช้ แดป ปริมาณเท่ากับ 34.78 กก.
ใช้ มอป ปริมาณเท่ากับ 13.33 กก.
รวมแล้วเท่ากับ 69.28 กก. ซึ่งได้น้ำหนักรวมไม่ถึง 100 กก. ดังนั้นเราต้องเติมสารเติมเต็มหรือฟิลเล่อร์เข้าไปเพิ่มเติมอีก 100 - 69.28 = 30.72 กก. เพื่อให้ปุ๋ยมีน้ำหนักครบ 100 กก. ตามกำหนด

สารเติมเต็มหรือฟิลเล่อร์ คือ สิ่งที่ใช้เพิ่มเติมเข้าไปในปุ๋ยเคมีเพื่อให้น้ำหนักครบตามกำหนด ต้องไม่เป็นวัตถุที่มีผลกระทบต่อธาตุอาหารหลักทั้งสามตัว และต้องสามารถคลุกเคล้าเข้ากับแม่ปุ๋ยได้เป็นอย่างดี เช่น ดิน โดโลไมท์ ปูนขาว ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม เป็นต้น

วิธีการคำนวณข้างต้นดังกล่าว เป็นหลักการที่สามารถนำไปใช้ได้ แม้ว่าแม่ปุ๋ยที่นำมาผสมจะไม่ใช่แม่ปุ๋ยสามตัวที่ผมยกตัวอย่าง เนื่องจากปัจจุบันมีแม่ปุ๋ยมากมายหลายชนิดออกมาสู่ท้องตลาด และเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะแม่ปุ๋ยสามตัวหลักนี้ราคาได้ปรับขึ้นสูงมาก

Tuesday 6 November 2007

แม่เหียะ

ทางสู่แคว้น.. แดนเกษตร มิใช่เขต ปูไปด้วยดอกไม้
บนทาง... หยาดเหงื่อและแรงกาย ที่เราร่วมใจ จึงได้ผลมา

ดูท้องฟ้า ยังไม่ปราณี ธรณี ยังยิ้ม เยาะเรา
เย้ย เยาะหยัน ให้ใจหดหู่ ว่าเราจะสู้ หรือเรา จะตาย

อดทน... เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน
เกษตร อดทน เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน

จง.. หยุดความเพ้อฝัน แล้วมุ่งมั่น ช่วยกันสร้างสรรค์
ให้แม่เหียะ เป็นแดนตระการ เป็นวิมาน ของเราชาวเกษตร

ดูท้องฟ้า ยังไม่ปราณี ธรณี ยังยิ้ม เยาะเรา
เย้ย เยาะหยัน ให้ใจหดหู่ ว่าเราจะสู้ หรือเรา จะตาย

อดทน... เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน
เกษตร อดทน เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน

Aggie 32 meeting

สู้..... สู้.....
ซ่า..... ซ่า.....
เกษตร เชียงใหม่
Can you see?
Who are we?
Agricultra
ซ่า.....

ได้กลับไปบูมกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง สนุกดี เหนื่อยด้วย ฮ่าๆๆ

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Nov 3) ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นเกษตร 32 ซึ่งไม่ได้จัดมาแล้วนานมาก ในที่สุดปีนี้ก็จัดขึ้นมาอีกจนได้ งานนี้ก็มีเพื่อนและผู้ติดตาม ทั้งที่เป็นสามี ภรรยา แล้วก็ลูกๆ รวมแล้วประมาณเกือบ 40 คน งานนี้จัดที่ร้าน Immortal แถวเกษตร-นวมินทร์ งานเริ่มคึกคักตั้งแต่เช้าเลย เพราะไอ้เชนมันทะยอยส่งข้อความเข้ามือถือทุกคนทุกๆ ห้านาที เล่นเอาข้อความล้นมือถือเลย ในงานไอ้เชนก็เลยถูกเพื่อนด่ายับ ส่วนที่บ้านไอ้นัท ซึ่งเป็นแหล่งพักพิงให้กับเพื่อนที่มาจากเชียงใหม่มี ไอ้จอม ไอ้อ้อ ไอ้จรัญ และยิ้ม ได้พักอาศัยกัน ก็เริ่มตั้งวงเหล้าตั้งแต่เที่ยง กินกันสนั่นหวั่นไหว และก็โทรมาชวนผมตลอด ก็ไปตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วล่ะ แต่ติดเรียนไปไม่ได้ เอาไว้กินตอนดึกที่เดียวเลยดีกว่า ต่อให้พวกมันไปก่อน

ไปถึงงานก็ประมาณหกโมงเย็น มีเพื่อนเพิ่งไปถึงไม่กี่คน งานนี้หมีมากับพี่ยุทธเหมือนเคย แต่ไม่พาน้องแมมมอธมาด้วย กะว่าจะสนุกเต็มที่ ไปถึงก็ร้องเพลงก่อนเลยตอนที่ยังไม่มีใครมาแย่ง เดี๋ยวจะไม่ได้ร้อง แล้วก็คุยกับไอ้เชนเรื่องพิธีการคร่าวๆ เพราะงานนี้ผมต้องเป็นพิธีกรด้วย (อีกแล้ว) พอสักหนึ่งทุ่มเพื่อนก็เริ่มมากันเยอะขึ้น ขบวนวงเหล้าจากบ้านไอ้นัทก็มาถึง ส่งเสียงคึกคักมาแต่ไกล เมากันได้ที่มาเลย ประกอบด้วยไอ้จอม ประธานรุ่น (ยึดอำนาจมาจากไอ้ยักษ์อีกที) ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ไอ้อ้นลาว ไอ้อ้อ และยิ้ม ทำให้งานคึกคักทันตาไม่รู้ใครเป็นใครโวยวายโหวกเหวกมาก เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วก็มากันเยอะ อย่างไอ้กี ด๊อกเตอร์จากเยอรมันก็มา ไอ้ตู่ จากประเทศลาว ก็มา เพิ่งรู้ว่ามันมาเรียนต่อโทในไทยที่ AIT ข้างๆ ธรรมศาสตร์นี่เอง ก็เลยบอกมันว่าว่างๆ จะไปแวะกินข้าวด้วย ไอ้อ้นดำ หรือน้าเน็กในเวอร์ชั่นดำก็มา ไอ้ต้อ อาจารย์ที่ม.ศิลปากร ก็นำขบวนเพื่อนๆ ที่นครปฐมมาเสริมตอนเกือบสามทุ่ม

ผมก็เริ่มพิธีการด้วยการกล่าวต้อนรับเพื่อนๆ ที่มาในงาน และแนะนำโต้โผที่จัดงานนี้ขึ้นมา ทุกคนก็ปรบมือให้เพื่อนที่ร่วมกันจัดงานนี้ให้เกิดขึ้นมาได้ จากนั้นก็ให้ไอ้จอมประธานรุ่น (ย้ำอีกทีมันแอบยึดอำนาจมาและสถาปนาตัวเองขึ้นเอง ไม่มีใครเสนอมันเลย 555) ได้กล่าวเปิดงานและบอกเกี่ยวกับกิจกรรมของรุ่นที่จะดำเนินในโอกาสต่อไป หลังจากไอ้จอมพูดเสร็จ ที่นี้ผมก็ดำเนินการต่อ ด้วยการเช็คชื่อเพื่อนทั้งหมด ใครที่ไม่มาในงานนี้ก็จะเพื่อนที่รู้จัก อัพเดตให้ฟังว่าเพื่อนคนนั้นทำอะไร อยู่ที่ไหน เพื่อจะได้ทราบข่าวกันถ้วนหน้า ส่วนเพื่อนมาในงานก็จะเชิญให้มาพูดข้างหน้า เพื่อให้ผมได้สัมภาษณ์ ประมาณว่า อยู่ที่ไหนทำงานอะไร แต่งงานหรือยัง ลูกกี่คนแล้ว หลังจากนั้นผมก็จะแฉความหลังของแต่ละคนไป เช่น ใครเคยเป็นกิ๊กกับใครบ้าง ใครทิ้งใครบ้าง ใครแอบปลื้มใครบ้าง งานนี้ผมเผาซะละเอียด เล่นเอาสะดุ้งกันเป็นแถวโดยเฉพาะพวกที่พาแฟนมาด้วย ฮ่าสุดๆ ตอนท้ายถึงคิวผมบ้างก็เลยโดนเอาคืนเยอะเหมือนกัน

พอสี่ทุ่มผมก็เชิญเพื่อนๆ ร่วมร้องเพลง แม่เหียะ กัน โดยได้ปิดไฟในงานทั้งหมดและจุดเทียนเพื่อเสริมบรรยากาศกัน เพลงแม่เหียะ เป็นเพลงประจำคณะเกษตรฯ มช. เมื่อได้ยินเพลงนี้ทุกคนจะต้องยืนตรงเหมือนเคารพเพลงชาติ จะถูกร้องในงานหรือกิจกรรมของคณะ เพลงแม่เหียะกล่าวถึงความทุกข์ยากของรุ่นพี่ที่ก่อตั้งคณะเกษตรฯ ขึ้นมา ซึ่งในช่วงก่อตั้งคณะเมื่อ 40 ปีที่แล้วนั้น มหาลัยได้มอบที่ดินบริเวณหมู่บ้านแม่เหียะเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ให้เป็นแปลงทำการเพาะปลูกคณะเกษตรฯ เราจึงเรียกกันว่า “ไร่แม่เหียะ” แต่เมื่อ 40 ปีก่อนนั้นไร่แม่เหียะเต็มไปด้วยความทุรกันดาร พวกรุ่นพี่จึงต้องเข้าไปถากถางปรับปรุงด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้เป็นไร่แม่เหียะที่สามารถใช้ทำแปลงเกษตรและสวยงามอย่างปัจจุบัน และเด็กเกษตรทุกคนจะต้องเข้าไปฝึกงานที่ไร่แม่เหียะอย่างน้อยคนละ 1 เดือน เดี๋ยววันหลังจะมาเล่าเรื่องฝึกงานในไร่แม่เหียะให้ฟัง สนุกดี กลับเข้ามาเรื่องงานเลี้ยง ช่วงร้องเพลงแม่เหียะ ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในห้องเชียร์อีกครั้ง ถึงกับขนลุกเลย เป็นเพลงที่ขลังจริงๆ ได้ร้องได้ยินแล้วรู้สึกมีพลังขึ้นอีกเยอะ

หลังจากร้องเพลงแม่เหียะจบเราก็บูมคณะกันอีกสามรอบ ถึงกับหน้ามืดเหมือนกัน 555 ไม่ฟิตเหมือนเมื่อก่อน เนื้อเพลงบูม ก็ตามที่เขียนไว้ข้างบน บูมของคณะก็มีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่เหลือก็จะเป็นแนวลามกๆ จะมีเป็นทางการก็เวอร์ชั่นนี้แหละ เมื่อบูมเสร็จก็สนุกสนานกันต่อ ถ่ายรูป ร้องเพลง กินเหล้า แต่คาราโอเกะที่นี่ไม่ค่อยจะดีเลย เพลงขึ้นช้า ขอไปก็ไม่ได้หลายเพลง ทำให้งานกร่อยไปเยอะเหมือนกัน

พวกเรากินกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเที่ยงคืนก็ทะยอยกันกลับ ส่วนพวกขี้เหล้าอย่างผม ไอ้นัท ไอ้จอม ไอ้บอมบ์ ไอ้อ้อ ไอ้อ้นลาว ก็สู้กันต่ออย่างไม่มียั้ง พอร้านจะปิดเราก็ย้ายวงไปกินเหล้าต่อที่บ้านไอ้นัท กว่าจะเลิกก็ตีสี่มันส์จริงๆ ขนาดคนที่ไม่ได้มากินด้วยก็ถูกโทรลากเข้ามาร่วมวงด้วย 555

ยัง ยังไม่จบ งานเลี้ยงของพวกผมไม่เคยเลิกลาง่ายๆ เคยไปแต่งงานเพื่อน กินตั้งแต่ก่อนวันงานจนกระทั่งงานเลิกไปแล้ว เจ้าภาพเก็บเต้นท์เก็บโต๊ะส่งคืนเจ้าของหมดเรียร้อย พวกผมก็ยังกินกันไม่เลิกเลย งานนี้ก็เหมือนกัน วันอาทิตย์ (Nov 4) หลังจากผมไปเรียนเสร็จ (ยังอุตส่าห์ฝืนไปเรียนได้ อาจารย์ยังถามเลยว่า “พีระศักดิ์เมาค้างมาเหรอค่ะ” สภาพคงสุดๆ แหละ) ก็กลับมาแวะที่บ้านไอ้นัท มาปลุกเพื่อนพวกที่จะกลับเชียงใหม่เย็นนี้ ก่อนจะจากกันก็ต้องสั่งลากันหน่อย ว่าแล้วก็ปั่นจักรยานไปซื้อเหล้ามากินกันอีก จนแม่ค้าร้านเหล้าถามว่าตั้งแต่บ่ายเมื่อวานยังไม่เลิกกันอีกเหรอ ก็ได้แต่หัวเราะ แฮะๆ ให้แม่ค้า ซื้อจนเหล้าหมดร้านค้าอ่ะ แม่ค้าก็เลยบอกเดี๋ยวเอามาส่งที่บ้านก็แล้วกัน ไอ้จอมเมาแล้วติดลม ก็โทรไปขอเลื่อนรถจากหนึ่งทุ่มเป็นสามทุ่ม ใจรักจริงๆ กว่าจะถึงเวลากลับก็ซัดเหล้าไปกันอีก 5 ขวด สมาชิกที่กินก็เดิมๆ ผม ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ไอ้จอม ไอ้อ้อ และไอ้จรัญ เมา เมา แล้วก็เมา 555

เออ ลืมไป วันที่ 4 พ.ย. เป็นวันเกิดน้องสาว มัวแต่เมาอยู่ไม่ได้โทรไปเบิรท์เดย์มันเลย Happy Birthday ก็แล้วกันเด้อ วิ

Wednesday 31 October 2007

Sitting in a Redwood tree

“พี่แสนดีใจ ได้รับโปสการ์ดจากไปรษณีย์” กรู้...........

วันจันทร์ที่ผ่านมา (Oct 29) ได้กลับเข้าออฟฟิศอีกครั้ง หลังออกทริปไปต่างจังหวัดมา 2 อาทิตย์ เข้าออฟฟิศครั้งนี้ก็ได้พบกับเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ดีใจมาก คือเมื่อเดินไปถึงโต๊ะทำงานสายตาก็ชำเลืองไปเห็นโปสการ์ดใบเล็ก ๆ วางอยู่บนโต๊ะ โปสการ์ดใบนั้นเขียนด้วยภาษาอังกฤษ พอเห็นก็ทำให้ยิ้มออกทันที เป็นโปสการ์ดส่งมาจากคนที่อยู่ไกลกันถึงครึ่งโลก เป็นโปสการ์ดส่งมาจากคนที่ไม่รู้จะได้กลับมาพบกันอีกหรือเปล่า เป็นโปสการ์ดที่ส่งมาจากสาวน้อยที่ชื่อ Karen

Karen is Canadian and so beautiful girl. ได้เจอกันบนรถไฟตอนเดินทางไปเชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว วันหลังจะเขียนเหตุการณ์วันที่เจอคาเรนให้อ่าน ยังจำวันนั้นได้ดี ตลกดี :)

My life is brilliant.
My love is pure.
I saw an angel…

คาเรนส่งโปสการ์ดมาจากป่า Redwood ที่รัฐ California เป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้น Redwood หรือเรียกว่าต้น Chandelier ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีลำต้นสูงและขนาดใหญ่มาก โดยบางต้นสูงกว่า 360 ฟุต ซึ่งสูงกว่าอนุสาวรีย์เทพีแห่งเสรีภาพเสียอีก และบางต้นมีขนาดใหญ่มาก สามารถเจาะโคนต้นออกเป็นช่องให้รถวิ่งผ่านได้ คาเรนเล่าให้ฟังในโปสการ์ดว่า ได้เดินทางไปเที่ยวที่ CA และให้ทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งด้วย คาเรนบอกว่าเป็นฟาร์มที่สวยมาก อยากให้ผมได้ไปเห็นเพราะจำได้ว่า ผมอยากเป็นคาวบอย มีที่ดินผืนใหญ่ ๆ เพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์และขี่ม้าคอยตรวจตราสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มทุกวัน

คาเรนเคยส่งโปสการ์ดมาให้ เมื่อคราวที่ไปเที่ยว Guatemala ประเทศแถบอเมริกากลาง และเมื่อครั้งที่ไปเที่ยว Music Festival ที่ Montreal รัฐแห่งหนึ่งในแคนาดา คาเรนยังทำตามสัญญาที่ให้ไว้เป็นอย่างดี คือ ถ้าได้ไปเที่ยวที่ไหนทั่วทุกแห่งหน ก็จะส่งโปสการ์ดมาให้ผม เพื่อเป็นของที่ระลึก ขอบคุณมากคาเรน ขอบคุณมากที่ยังไม่ลืมกัน แม้ช่วงหลังจะไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก ตอนท้ายโปสการ์ดคาเรนก็อวยพรให้ผมประสบแต่ความสุข มีชีวิตที่สนุก ๆ แบบบ้า ๆ เหมือนเดิม ตามฉายาที่คาเรนชอบเรียกผมว่า Crazy Man :)

ยังไงก็ขอให้คาเรนโชคดีและมีชีวิตที่พบแต่ความสุขนะ ให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและให้เจอแต่เรื่องสนุก ๆ ในการเดินทาง

I wish you are doing well, enjoy in your trip and staying healthy.

Hugs and Missesssssssssssss

P’Tong

Sunday 28 October 2007

CTO of Microsoft

และแล้วก็ผ่านไปสำหรับการพบปะ Mr. Craig Mundie Chief Research and Strategy staff of Microsoft โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งอาจารย์และนักศึกษาประมาณ 20 คน ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผม

วันนี้เดินทางไป Microsoft ด้วยรถไฟฟ้า โดยเอาจอดรถไว้ที่ลานจอดรถที่หมอชิต เพราะหลังเลิกงานแล้วจะมาชอปปิ้งที่จตุจักรสักหน่อย อาทิตย์นี้ก็เปิดเทอมแล้ว จึงจะไปซื้อ รองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้า ตอนรับเปิดเทอมสักนิด (ทำตัวยังกะเด็กอนุบาลเปิดเรียน)

การเดินทางไปออฟฟิศของ Microsoft ที่ออลซีซั่นเพลส ค่อนข้างสะดวก เพียงขึ้นรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานีเพลินจิตแล้วเดินไปตามถนนวิทยุสักห้านาทีก็ถึงแล้ว พอไปถึงก่อนขึ้นลิฟท์ก็เจออ.กษิดิศ อาจารย์สอนผมที่ธรรมศาสตร์พอดี จึงขึ้นลิฟท์ไปด้วยกันที่ชั้น 38 ไปถึงเจ้าหน้าที่ของ Microsoft ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เสริฟ์น้ำ เสริฟ์อาหารอย่างไม่อั้น อ.กษิดิศได้แนะนำให้รู้จักอ.ภุชงค์ อาจารย์จากม.เกษตรฯ และเป็นผอ.ศูนย์ไทยกริด ได้ยินชื่ออาจารย์มานานแล้ว แต่เพิ่งได้รู้จักก็วันนี้ อ.ภุชงค์คุยสนุกมาก ฟังแกไปก็หัวเราะไป โดยมีผู้ร่วมสนทนาอีกท่านหนึ่งคือ Mr. Yik Joon Ho Developer and Platform Strategy Director ที่คุยสนุกไม่แพ้กัน หลังจากนั้นก็มีผู้ร่วมสัมนาท่านอื่นๆ ก็ทยอยกันมาเพิ่มเติม ก็เพิ่มรสชาติของวงสนทนาขณะรอเวลาเปิดงาน

สักพักใหญ่ Mr. Craig Mundie ก็ได้เดินทางมาถึง Mr. Craig มาในชุดสูทสีดำทับบนเสื้อสีฟ้าอ่อน ผูกเนคไทสีแดง ใส่แว่น หวีผมเรียบ ดูแล้วสุภาพและน่าเคารพนับถือยิ่ง Mr. Craig เดินยิ้มมาแต่ไกลและกล่าวทักทายทุกคนด้วยเสียงอันดังกังวาน พร้อมกับเดินจับมือทักทายกับแขกทุกคนร่วมทั้งผมด้วย Mr. Craig เป็นบุรุษรูปร่างใหญ่ สง่าผ่าเผย บุคคลิกน่าเลื่อมใสยิ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษอย่างแท้จริง ผมเคยได้พบบุคคลที่มีบุคคลิกเช่นนี้ไม่บ่อยครั้งด้วยกัน เป็นบุคคลิกที่สามารถทำให้เรานับถือและเลื่อมใสได้ตั้งแต่แรกเห็น หลังจากที่ Mr. Craig กล่าวทักทายทุกคนเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็เชิญทุกคนเข้าห้องประชุม

หลังจากเจ้าหน้าที่กล่าวแนะนำตัว Mr. Craig เสร็จ Mr. Craig ก็กล่าวบรรยายถึงวิสัยทัศน์และแนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคต โดยเริ่มพูดถึงความเป็นมาของเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต แต่ผมคงไม่อธิบายในที่นี้ เพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เท่าที่รู้คือ Mr. Craig เป็นนักพูดที่ดีมาก มีปล่อยมุขอยู่ตลอดเวลา ที่รู้เพราะเห็นคนอื่นหัวเราะ พอคนอื่นหัวเราะ ผมก็หัวเราะตาม เดี๋ยวเชย ฮ่า

แต่ที่จำได้ก็คือ ในปีหน้า Mr. Craig จะขึ้นบริหารแทน Bill Gates โดยจะบริหารร่วมกับ Mr. Ray Ozzie ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับ Software Architect ส่วน Mr. Craig จะดูแลในส่วนของการดูนโยบายโดยรวมและกำหนดแนวทางของเทคโนโลยีของ Microsoft ทั้งหมด ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสอันดีของผมอย่างยิ่งที่ได้พบปะบุคคลระดับนี้

หลังจากสัมนากันเสร็จเรียบร้อย ทาง Microsoft ก็ให้จัดให้เราถ่ายรูปหมู่ร่วมกันกับ Mr. Craig ซึ่งก็ได้เก็บรูปภาพมาฝากด้วย แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปคู่ด้วย หลังจากนั้น Mr. Craig กล่าวลาและเดินทางกลับ และแขกที่มางานนี้ก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ

ก่อนกลับผมได้เข้าห้องน้ำไปเพื่อปลดปล่อย หลังจากอั้นฉี่มานาน ขณะที่ยืนฉี่อยู่นั้น Mr. Craig ซึ่งผมเข้าใจว่ากลับไปแล้ว ก็เดินเข้ามาห้องน้ำและมายืนฉี่อยู่ข้างๆ ผม Mr. Craig ก็ถามผมว่าเป็นไงบ้าง ผมก็บอกว่าดีใจครับที่ได้มาร่วมงานนี้ สนุกดี ก็ตอบไปตามระเบียบมารยาท แล้วผมก็ถามกลับไปว่า มาเมืองไทยบ่อยหรือเปล่า Mr. Craig ก็บอกว่าเคยมาแล้ว 2-3 ครั้ง และหลังจากนั้นเราก็คุยกันอีกนิดหน่อย Mr. Craig ก็ขอตัวกลับไป ซึ่งตลอดเวลาที่สนทนากันที่หน้าโถฉี่นั้น ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย แต่... อืม... ขนาดนี่สิปัญหา Ohhhhh My God!!!

Thursday 25 October 2007

The Last Day of Buddhist Lent

วันออกพรรษาคือวันสุดท้ายของการบำเพ็ญศีลภาวนาของพระสงฆ์ แต่พุทธศาสนิกชนบ้างท่านอาจจะเป็นวันสุดท้ายของการงดเหล้าด้วยก็ได้ ฮ่า

ออกพรรษาไปทำอะไรกันบ้างครับ ส่วนผมเดิมที่ว่าจะไปดูบั้งไฟพญานาค ที่หนองคาย ตามที่เขียนไว้ใน October trip แต่แล้วก็มีเหตุให้ต้องไม่ได้ไป ในใจก็เสียดายอยู่เหมือนกัน แต่งานที่จำเป็นต้องไปในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ (Oct 27) ก็น่าสนใจมากเหมือนกัน

เรื่องมีอยู่ว่า ผมต้องไปเป็นตัวแทนนักศึกษาของภาควิชาฯ เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของ Microsoft ที่ทำงานใกล้ชิดกับ Bill Gate ซึ่งบินมาจากอเมริกา คือ Mr. Craig Mundie Chief research and strategy officer of Microsoft ซึ่งเป็นผู้กำหนดกุลยุทธ์และทิศทางของเทคโนโลยีใน Microsoft ทั้งหมด และถือเป็นบุคคลที่สำคัญในการกำหนดวิสัยทัศน์และเทคโนโลยีทางด้านสารสนเทศของโลกด้วย (เห็นอาจารย์ว่าอย่างนั้นนะ ก็คงจริงแหละ Microsoft ใหญ่คับโลกจะตาย)

ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะสวมรอยใช้โอกาสนี้ ทำตัวเป็นคนในวงการคอมพิวเตอร์กับเขาบ้าง หลังจากเป็นคนในวงการ (บันเทิง) เกษตรมานานแล้ว อาจารย์ให้เตรียมคำถามไปด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะคติกับ Mr. Craig ด้วย จะไปถามอะไรดีน้อ ลำพังแค่ฟังภาษาอังกฤษก็คงไม่รู้เรื่องแล้ว งานนี้ก็มีมหาวิทยาลัยชั้นนำไปกันอีก 4-5 มหาวิทยาลัย ก็ดี แต่รับรองได้ว่าคงจะต้องมีคนทักทายว่าเป็นอาจารย์แน่นอนเลย เหมือนคราวไปประชุมที่ขอนแก่น ทักเราเป็นอาจารย์ แต่ไปทักอาจารย์เราว่าเป็นนักศึกษา ตูล่ะเซ็งจริงๆ เดี๋ยวบรรยากาศการพบปะ Mr. Craig ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกที ถ้า Mr. Craig ถามว่าอยากให้ Microsoft ช่วยอะไรบ้าง จะบอกว่า ซ่อยให้ทุนเรียนต่อแหน่เด้อค๊า ฮ่า

ย้อนกลับมาเรื่องวันออกพรรษา เมื่อถึงวันออกพรรษาก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวนี้คงต้องนอนกอดหมอนข้างเหมือนเคย เฮ้อ...

ช่วงนี้อากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลง (Season change) ใครที่ร่างกายและหัวใจอ่อนแอก็ดูแลสุขภาพด้วยนะจ้ะ ระวังจะไม่สบายเอา เดี๋ยวจะหาว่า หล่อไม่เตือน :) หยูกยาก็หาติดตัวกันไว้นะจ้ะ เผื่อเกิดเจ็บป่วยกะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ก็ไปหาหมอจะดีกว่า เขียนมาถึงตรงนี้ น้ำมูกชักจะเริ่มไหลแล้วไม่รู้ไปติดใครมา แค๊ก แค๊ก (เสียงไอ ไม่ใช่ ไอ เลิฟ ยู นะ :)

Wednesday 24 October 2007

Allan’s new house party

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Oct 20) ได้ไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ของอลันและพี่ผกา ที่อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ สนุกมากเลย บ้านของอลันตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแม่แอน งานนี้อลันก็ได้เชิญชาวบ้านแม่แอนทุกครัวเรือนมาร่วมงานด้วย แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพราะต้องการฝากเนื้อฝากตัวเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านแม่แอนและผูกมิตรกับชาวบ้าน ชาวบ้านแม่แอนก็แสนจะน่ารัก มาร่วมงานกันอย่างมากหน้าหลายตาเพื่อแสดงการต้อนรับอลันและพี่ผกาสู่บ้านแม่แอน นอกจากชาวบ้านแม่แอนมาร่วมงานแล้ว เพื่อนของอลัน มิสเตอร์ไมเคิล และมิสเตอร์ชายน์ ก็บินตรงจากออสเตรเลีย เพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ

งานนี้พี่ผกาได้ขอร้องให้ผมช่วยเป็นพิธีกรบนเวที เพราะไม่รู้จักใครเลย ผมก็เลยได้เป็นพิธีกรจำเป็น (ตอนแรกกะว่าจะมาร้องเพลงอย่างเดียว สักสี่สิบเพลงก็พอแล้ว :) แบบว่าเตรียมมาเยอะ) การเป็นพิธีกรบนเวทีไม่มีปัญหาอยู่แล้วสำหรับผม โชกโชนและไหลลื่น (ตอนนั้นเมาแล้ว) หลังจากที่โม้ไปสักพักและร้องเพลงไปสักครึ่งอัลบั้ม ผมก็ได้เชิญอลัน พี่ผกา น้องแป้ง (ลูกสาวพี่ผกา) มิสเตอร์ไมเคิล และมิสเตอร์ชายน์ ขึ้นไปโชว์ตัวให้แขกผู้เกียรติได้รู้จัก และได้ให้อลันกล่าวกับแขกที่มาร่วมงาน โดยผมจะคอยแปลให้ ทีแรกผมก็คิดว่าอลันจะพูดทีละประโยคแล้วหยุดให้ผมแปล ที่ไหนได้พูดยาวรวดเดียวจบ พูดยาวมาก ลำพังแปลอย่างเดียวก็ยากอยู่แล้ว ยังต้องจำอีกว่าพูดอะไรไปบ้าง ผมก็เลยต้องสวมรอยแปลและพูดเสริมเองบ้างเพื่อความเรียบร้อยของงาน ฮ่า

แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อลันพูดขอบคุณแขกที่มีน้ำใจมาร่วมงานของอลัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเลย อลันกล่าวต่อว่า ถ้าไม่มีชาวบ้านแม่แอนมาร่วมงาน งานคงจะกร่อยและไม่สนุก อลันพูดไปและน้ำตาคลอเบ้าไปด้วยความซาบซึ้งน้ำใจแขกทั้งหลาย ช่างเป็นภาพที่ประทับใจสำหรับผมจริงๆ

แต่และแล้วผมก็ได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อบนเวที หลังจากที่อลันกล่าวและผมแปลให้เสร็จ ทีนี้ผมก็กล่าวเรียนเชิญแขกดื่มฉลองกันอย่างพร้อมเพรียง ผมก็บอกให้แขกทุกคนยืนขึ้นและเตรียมแก้วไว้ให้เรียบร้อย ผมกระซิบบอกอลันว่า เดี๋ยวจะนับหนึ่ง สอง สาม แล้วค่อยยกแก้วดื่มนะ หลังจากผมก็นับหนึ่ง สอง สาม แล้วผมกับอลันก็ยกแก้วดื่มกันเพียงสองคน พอผมดื่มไปสักอึก ผมก็สังเกตเห็นแขกทั้งหลายยืนกันนิ่งๆ งงๆ ไม่ยกแก้วดื่ม ทำให้ผมนึกได้ทันที เฮ้ย มันต้องมีการตะโกน ไชโย ด้วยนี่หว่า นึกขึ้นได้ก็เลยรีบตะโกน ไชโย นำร่องแขกทั้งหลาย ให้แขกช่วยกันขานรับสามครั้ง พอดื่มเสร็จแล้วก็พูดแก้ตัวไปว่า พิธีกรขี้เหล้าไปหน่อยนะครับ เห็นเหล้าแล้วอดไม่ได้ รีบกินไปหน่อย ฮ่า ชาวบ้านก็หัวเราะชอบใจ นึกแล้วก็ขำดี ตู

แล้วเจอกันอีกเด้อ อลัน พี่ผกา

Saturday 20 October 2007

Chiang Mai

ผมรักเชียงใหม่

ดีใจครับ ได้กลับมาเชียงใหม่อีกแล้ว คิดถึงเชียงใหม่ตลอดเวลา
เอาไว้คราวหน้า มีโอกาสจะเขียนเรื่องราวเชียงใหม่ให้อ่านกันเยอะๆ

คณะเกษตรฯ มช.
ห้องเชียร์
รักบี้
รับน้องขึ้นดอยสุเทพ
เก็บขยะ
ไร่แม่เหียะ
ยี่เป็ง
ปี๋ใหม่เมือง
ช่างเคี่ยน
แม่สะป๊อก
เวียงแหง
ดอยหลวงเชียงดาว

และเรื่องราวอีกมากมาย กับช่วงเวลาของชีวิตที่มีความสุขสุดๆ

ขอบคุณเชียงใหม่

Thursday 18 October 2007

Cobra snake fried

ผัดเผ็ดงูเห่า เคยกินไหมครับ

วันนี้ได้มีโอกาสไปแวะกินข้าวที่ร้านอาหารป่า ชื่อร้าน "ลุงมั่ว" ร้านนี้ผมรู้จักมานานแล้ว น่าจะสัก 10 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยเรียน มช. ตอนนั้นมาฝึกงานที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ที่อ.ตากฟ้า ส่วนร้านลุงมั่วอยู่เขตอ.หนองม่วง จ.ลพบุรี แต่ไม่ไกลกันมาก ตอนนั้นพี่ที่ศูนย์วิจัยพาผมและเพื่อนมากิน ก็เลยติดใจมาจนทุกวันนี้ เป็นร้านอาหารป่าที่ทำรสชาติได้จ้ดจ้านจริงๆ ที่ร้านลุงมั่วจะมีเนื้อสัตว์ป่ามากมายให้ได้ทดลองชิม ช่วงที่ผมออกทำงานต่างจังหวัดถ้าได้ผ่านมาใกล้ๆ ก็จะแวะมากินตลอด เพราะติดใจฝีมือทำอาหารป้าใจเมียลุงมั่ว วันนี้ก็ไปกินมา ลุงมั่วบอกว่าวันนี้มีงูเห่ากับเม่น ก็เลยสั่งทั้งสองอย่างครับ สั่งทำผัดเผ็ดครับ อร่อยจริงๆ ที่ร้านลุงมั่วถ้ามากินช่วงตอนเย็น จะมีบริการคาราโอเกะหยอดเหรียญให้ได้โชว์ลูกคอกัน ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงลูกทุ่งที่มีนางเอกมิวสิควิดีโอแต่งตัววาบหวิวให้ดูเป็นอาหารตา ทำให้เพลงน่าร้องมากขึ้น :)

แล้วผัดเผ็ดเม่นล่ะครับ เคยกินกันไหมครับ

อร่อยทั้งคู่ นะจะบอกให้ :)

Wednesday 17 October 2007

October trip

ในที่สุดก็ปิดเทอมแล้ว แต่ยังเหลืองานส่งอีกหนึ่งงาน แต่ไม่ซีเรียส เดือนนี้จึงถือโอกาสปิดเทอมออกทำงานต่างจังหวัดให้นานหน่อย ถึงแม้ช่วงต้นเดือนก็ได้ไปนอนที่น้ำหนาวมาแล้วหนึ่งรอบ เข้าไปนอนที่ตัวอำเภอน้ำหนาวอากาศดีมาก และที่ประทับใจคือ ร้านอาหาร "ไร่สินติ้ง" บรรยกาศสุดยอดมาก ไม่คิดว่าจะมีร้านอาหารแบบนี้แทรกตัวอยู่อำเภอเล็กๆ และอยู่ไกลอย่างน้ำหนาว แม้ว่ารายการอาหารจะธรรมดาไปนิด แต่ก็อร่อยดี นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ภายในรัศมี 100 กิโลเมตร จะพาที่นี่เลยล่ะ เสียดายที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย เนื่องจากไม่ได้ตั้งใจไป ทำให้ไม่ได้เตรียมการ เอาไว้โอกาสหน้าจะไปกินอีก

ส่วนการเดินทางหลังจากนี้ ช่วงแรกก็จะอยู่แถวนครสวรรค์ พิษณุโลก แต่วันเสาร์นี้ (Oct 20) ต้องถึงเชียงใหม่ เพราะต้องไปงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของอลัน เมื่อวานพี่ผกาแฟนของอลันก็โทรมาตามอีกครั้ง ด้วยเสียงบังคับแกมขู่เข็ญว่าต้องไปให้ได้ ไปอยู่แล้วพี่ผกา มีงานสำคัญต้องไปทำด้วย หลังกลับจากเชียงใหม่ ก็จะย้ายข้ามฟากของประเทศไปทางอีสาน แต่อาจจะแวะบ้านที่เพชรบูรณ์นิดนึง ไปอีสานคราวนี้ต้องไปดูแปลงสวนปาล์มน้ำมันของลูกค้าที่นครพนม เป็นลูกค้ารายใหญ่ปลูกปาล์มหมื่นกว่าไร่ แต่เนื่องจากช่วงฤดูฝนสวนปาล์มถูกน้ำท่วมอย่างหนักทำใหต้นปาล์มมีปัญหา ต้องไปดูให้สักหน่อย

ช่วงที่ไปถึงนครพนมก็คงเป็นช่วงวันออกพรรษาพอดี จึงถือโอกาสนี้จะไปดู "บั้งไฟพญานาค" ปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ของแม่น้ำโขง จะไปดูที่หนองคาย ได้นัดกับแจ๊คน้องที่บริษัทไว้แล้ว อยากไปดูมานานแล้วแต่ไม่สบโอกาสสักที ปีนี้ถือโอกาสนี้แหละ อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า เริ่มต้นใหม่ก็ขอไปดูอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคย ตื้นเต้นมาก อยากให้ถึงไวไว (หรือมาม่าก็ได้) จัง จะเก็บรูปมาให้เต็มที่ ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้ปีนี้ มีบั้งไฟขึ้นเยอะๆ สาธุ ขอสักครั้งแล้วจะลืมพระคุณ อย่าคิดมากนะครับ ก็แค่ของเห็นเป็นบุญตาสักครั้งนั้นเอง

พอหลังจากออกพรรษา ก็เหลือเวลาอีก 2-3 วัน ก่อนสิ้นเดือนซึ่งต้องกลับบริษัท ตอนแรกคิดว่าจะไปอุบลฯ ก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่ อืมๆๆๆๆ จะไปดีหรือเปล่าน๊าๆๆๆ ใครคิดออกช่วยบอกทีสิ จะให้ไปอุบลฯ ดีหรือเปล่า :)

Tuesday 16 October 2007

Celebrate day

เมื่อวานหลังจากสอบภาษาอังกฤษเสร็จ ก็ชวนพรรคพวก น้องๆ ไปกินข้าวฉลองปิดเทอมกันที่ร้านบ้านรามัญ ร้านอาหารแถวสะพานปทุมธานี อาหารอร่อยดี บรรยากาศของร้านก็ดี ต้องขอบคุณคูณผู้แนะนำร้าน เมื่อวานนอกจากฉลองปิดเทอม ยังเป็นการฉลองให้ว่าที่พ่อคนใหม่อย่างเป็นทางการด้วย บอยเจ้าภาพงานนี้เลี้ยงไม่อั้นจริงๆ พวกเราไปกลุ่มใหญ่มาก และนั่งกินอยู่นานด้วย นั่งตั้งแต่บ่ายโมงจนกระทั่งสามทุ่ม สักประมาณหกโมงเย็น ทั้งร้านก็เหลือแต่โต๊ะพวกเราโต๊ะเดียว จึงเสียงดังกันได้อย่างเต็มที่ เป็นงานสังสรรค์อีกงานหนึ่งที่สนุกดี เราก็ได้ถือโอกาสปล่อยมุขอย่างเต็มที่ ที่มุขมีเยอะก็เนื่องจาก "เมา" นั่นเอง เมื่อเช้าโทรเช็คกับบอย รู้สึกจะหมดเหล้าไป 4 ขวด กินเยอะจริงๆ แต่เหล้าเมื่อวานไม่ค่อยได้ซื้อหรอก เพราะแต่ละคนห่อมาจากบ้านเกือบทั้งนั้น ของตัวเอง 1 ขวด ตั๋งรับปากว่าจะให้แบล็ค ก็หิ้วมาอีก 1 ขวด และเจ้าพีอีก 1 ขวด ส่วนขวดสุดท้ายสั่งเพิ่มในร้าน เมากันถ้วนหน้า

โอกาสนี้ก็ได้ดวลเหล้ากับพี่ป้อมอีกครั้ง หลังจากคราวที่แล้วเสียทีให้พี่ป้อมอย่างราบคาบ และคราวนี้ก็ยังเสียท่าให้แกเหมือนเดิม ฝากไว้อีกครั้งนะพี่ เมื่อคืนหลังออกจากร้านบ้านรามัญ ก็ไปกินต่อที่ร้านป.กุ้งเผา พระราม5 ที่สาขานี้ไม่ค่อยเข้าท่าเลย ร้านเงียบมาก คนน้อย เปิดแต่เพลงช้าๆ แต่อย่ากระนั้นเลย ถึงแม้จะเปิดแต่เพลงช้าๆ ข้าพเจ้าก็สามารถลุกขึ้นเต้นได้อย่างไม่เคอะเขิน ทั้งร้านลุกขึ้นเต้นอยู่คนเดียว เท่จริงๆ คนอะไรว่ะ ฮ่าๆ

พูดถึงเรื่องสอบภาษาอังกฤษนิดนึง ก็ทำด้วยความสบายใจ ทำไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จล่ะ เทอมหน้านี่แหละจะเจอของจริง ต้องเรียนการเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ คงยากเหมือนกัน ก็เป็นจังหวะพอดีที่เทอมหน้าก็ต้องเริ่มเขียน thesis ด้วย ซึ่งได้ตั้งว่าจะเขียน thesis เป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นในเทอมหน้า คงได้เห็นบทความในบล๊อกนี้ เป็นภาษาอังกฤษด้วย ดังที่ตั้งใจไว้ในทีแรก เพื่อเป็นการฝึกไปในตัว แต่ตอนนี้ขอไปนอนฝันเป็นภาษาอังกกฤษ ก่อนล่ะกัน :)

Welcome miw

ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่เอี่ยมอ่อง มีสมาชิกหลวมตัวเข้ามาเพิ่มอีกคนแล้ว ทำให้บล๊อกดูคึกคักเพิ่มขึ้น สมาชิกใหม่เป็นสุภาพสตรีสาวแสนสวยซะด้วย (อ้อยมีคู่แข่งแล้วล่ะ) สำหรับหมิวได้ข่าวว่ามาแอบอ่านสักพักแล้ว แล้วก็เก็บข้อมูลเอาไปแซวเรา จึงชวนเข้ามาเป็นสมาชิกซะเลย ต่อไปไม่ต้องมาแอบอ่านแล้วนะ นอกจากจะเข้ามาอ่านแล้ว ถ้าอยากโชว์ฝีมืองานเขียนก็ได้เลยนะ หรือจะเขียนตำราอาหารอีสานก็ได้เด้อ เพราะเห็นถนัดเรื่องอาหาร ชอบทำกับข้าว เผื่อจะได้สูตรเด็ดๆ ไปทำกินบ้าง แต่จะให้ดีทำอาหารมาให้ชิมเลยก็ดีนะ :)

ยินดีต้อนรับจ้ะ

Friday 12 October 2007

When the life comes back to start up again

เมื่อมีจบก็ต้องมีเริ่มใหม่เป็นธรรมดาของชีวิต และเป็นวัฏจักรที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีช่วงชีวิตทั้งขึ้นและลง ชีวิตในช่วงขาลงนั้น ไม่ว่าเราจะคิดอะไร ทำอะไร ก็จะต้องมีอันทำให้ไม่เป็นไปตามที่คิดที่หวังไว้ ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งพยายามก็ยิ่งพัง และทำให้ปัญหาเพิ่มทวีคูณมากขึ้น จนในที่สุด ผมต้องขออยู่นิ่งๆ แบบปลงๆ ไม่คิดอะไรมาก ขอประคองใช้ชีวิตให้พ้นไปวันๆ โดยที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมา และทำตัว “จมให้ลง” จมกับความเป็นจริงในขณะนั้น จมกับเสียงนินทาว่ากล่าว จมกับผู้คนที่เยาะเย้ยและเย้ยหยันเรา และยอมรับกับความผิดพลาดที่เราได้ก่อขึ้น

มันก็น่าแปลก เมื่อเริ่มใช้ชีวิตด้วยความนิ่ง ไม่ทะเยอทะยานเกินตัว ไม่คิดฟุ้งซ่านกับปัญหามากเกินไป อะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง และทำให้เรามีสติในการแก้ปัญหามากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อชีวิตเริ่มนิ่ง ก็เริ่มมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เป็นเหมือนผลรางวัลของการต่อสู้ในช่วงเวลาเลวร้ายที่ผ่านมา ทำให้เรากลับมามีโอกาสในชีวิตมากขึ้น โอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ โอกาสที่เดินล่าตามความความฝันของชีวิตกันต่อไป และโอกาสที่เคยคิดว่ามันคงหมดไปแล้วจากชีวิต ก็กลับมาอีกครั้ง

ในช่วงเวลา ณ ตอนนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมีบางสิ่งได้จบไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนเป็นโอกาสให้สิ่งอื่นได้เข้ามาในชีวิต ผมจึงคิดว่าจะเลือกใช้โอกาสที่ได้รับมานี้ ให้คุ้มค่ามากที่สุด เพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตกับโอกาสครั้งใหม่ โดยมีอดีตเป็นบทเรียนให้แก่เรา บทความในวันนี้จึงขอใช้ชื่อว่า “เมื่อชีวิตกลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง” ส่วนจะเริ่มต้นอย่างไรนั้น ขอให้ติดตามกันต่อไป

Tuesday 9 October 2007

มาฝึกเขียน Thesis กันเถอะ...

วันนี้ก็นำเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องการฝึกเขียน Thesis มาฝากกัน หลังจากที่อ้อยได้พยายามคุยกับอาจารย์ชลยืน เพื่อให้ท่านรับเป็น Advisee มานาน ก็มีเทคนิดติดไม้ติดมือมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เนื่องจากทราบดีว่าตัวเองเป็นคนเขียนบทความวิชาการ หรือบทความวิจัยไม่เก่ง อาจารย์แนะนำว่าถ้าเราอยากเขียนให้เก่ง เราก็ต้องฝึกอ่านงานวิจัยเยอะ ๆ วิเคราะห์เทคนิคการเล่าเรื่องของเค้า และหยิบเรื่องนั้นมาเป็นแนวทางการเขียนงานวิจัยของเรา อาจารย์แนะนำให้อ่านวารสารบริหารธุรกิจของ มธ. โดยให้เข้าไปค้นคว้าที่หอสมุดป๋วย หอสมุดคณะ หรือหอสมุดปรีดีพนมยงค์ พอลองไปค้นคว้าและอ่านแล้ว พบว่าน่าสนใจจริงๆ อยากอ่านอีก ก็เลยสั่งซื้อวารสาร มาไว้ที่บ้านซะเลย :) สั่งมา 8 ฉบับ (ตัวเราเป็นไปได้จิง ๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะคลั่งไคล้หนังสือขนาดนี้) ล่าสุดคือ ฉบับที่ 115 มีเนื้อหาน่าสนใจ ดังนี้ค่ะ

- คณะกรรมการตรวจสอบ : กลไกการกำกับดูแลกิจการ

โดย ศิลปพร ศรีจั่นเพชร

- หลักการ 5 ข้อในการทำให้ระบบการจัดการผลการปฏิบัติงานองค์กรประสบผลสำเร็จ

โดย นภดล ร่มโพธิ์

- การวิเคราะห์เปรียบเทียบเทคนิคและฝีมือผู้จัดการกองทุน

โดย อาณัติ ลีมัคเดช

- เป้าหมายเงินเฟ้อ

โดย สิปปภาส พรสุขสว่าง

- องค์การการเรียนรู้ที่แท้จริง

โดย เกรียงไกรยศ พันธุ์ไทย

- A Critical Review of Supply Chain Management Concept : an Exploratory of Links in Literature and Practices

โดย Sakun Boon-itt

- Book Review : The Strategy-Focused Organization

โดย นภดล ร่มโพธิ์




แต่ที่อ่านแล้ว ประทับใจสุด ๆ คือเรื่อง Impact of Advance Computer Technology to Society : Sociological and Psychological Change. เป็นงานวิจัยเมื่อปี 2544 ค่ะ

ถ้าเราเขียนได้แบบนี้ คุณแม่ต้องปลื้มแน่ ๆ เลย...

เพื่อนคนไหน สนใจยืมอ้อยได้เลยนะค่ะ ไม่คิดเงินค่ะ อ่านมากรู้มาก และรู้หลายแนวนะค่ะ... ไว้มา post รายละเอียดของฉบับอื่น ๆ ใหม่นะค่ะ

Monday 8 October 2007

It's over

เมื่อวานนี้ ในที่สุดก็มีบ้างสิ่งได้จบไปจากชีวิต มีทั้งจบแบบ Happy ending และจบแบบเจ็บปวด นี้แหละชีวิต

ที่จบด้วยดี ก็คือการสอบตัวสุดท้ายของการเรียนป.โท ทำข้อสอบวิชา AI ได้เยอะเหมือนกัน ค่อนข้างมั่นใจ ในที่สุดก็หมดแล้วสำหรับ course work ของป.โท เรียนที่ธรรมศาสตร์รู้สึกชอบมาก เรียนด้วยความสนุก แปลกดีไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนี้ มันคงเป็นการค้นพบความถนัดของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญนะ ถ้าเราได้ทำอะไรที่ถนัด ถึงยากแค่ไหนเราก็จะทำด้วยความสนุกและรู้สึกท้าทาย ที่นี้ก็เหลือ thesis นี่แหละจะได้เจอกับความยากของจริง ได้เริ่มทำมานานแล้วพอสมควร แต่ยังไม่ค่อยคืบหน้าไปไหน ต้องใช้ simulator ทำงานวิจัย งงมาก ยังใช้ไม่เป็น แต่คราวนี้ไม่มีตัวเรียนมาคอยกวนใจแล้ว คงได้ใส่กับมันเต็มๆ :) ถ้ายากมากก็จะให้อาจารย์นั่นแหละทำให้ อิอิ

ย้อนกลับมาเรื่องสอบ ข้อสอบยากเหมือนกัน แต่พอดีอ่านตรง และมีคนเก็งข้อสอบอย่างอ้อยเก็งให้ ก็เลยรอดตัวไป (ขอบใจนะจ้ะ) เป็นอีกข้อสอบที่ต้องเขียนเยอะมาก เมื่อวานเขียนหมดเล่มเลย ว่าจะขอสมุดคำตอบเพิ่ม ก็เกรงใจน้องๆ คนอื่น เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้เอา ข้อหาตอบเยอะเกินไป เมื่อวานหลังสอบเสร็จก็ไปฉลองกันที่ร้านไก่ย่างจักราช ตรงตลาดไท ไปกับ บอย (ว่าที่พ่อคนใหม่) ตั๋ง และ พี ซึ่งมีบอมบ์เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันที่เชียงใหม่ตามมาทีหลัง ได้กินก้อยเนื้อขมๆ สมใจอยาก และได้ทดลองกินผัดเผ็ดจระเข้ด้วย อร่อยดี สอบเสร็จก็รู้สึกโล่งที่ได้ทำอะไรสำเร็จลุล่วงไปอีกอย่าง และคาดว่าคงจะได้รางวัลแห่งความสำเร็จเล็กน้อย ที่หวังไว้ อืม เป็นการจบแบบ Happy ending จริงๆ

แต่อย่างว่าแหละ "ชีวิต" ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อวานก็ได้รับรู้เรื่องบ้างสิ่งบ้างอย่าง ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน ทำอะไรไม่ถูก ทำไมต้องจบแบบนี้ด้วยนะ รู้มานานแล้วล่ะ ว่าต้องจบ แต่ไม่คิดว่าจะจบแบบนี้ กับคนๆ หนึ่งที่เคยไว้ใจกัน ดูเป็นคนที่แสนดี แต่กลับทำอะไรอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ถึงกับงง ไม่อยากเชื่อ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปแล้ว จบสิ้นกันเสียที ไม่โกรธหรอกที่ต้องจบ แต่เสียใจที่จบแบบนี้

เสียใจจริงๆ

Boulevard of broken dreams - Green day

I walk a lonely road
The only one that I have ever known
Don't know where it goes
But its home to me and I walk alone

I walk this empty street
On the Blvd. of broken dreams
Where the city sleeps
And I'm the only one and I walk alone

I walk alone
I walk alone
I walk alone
I walk a...

My shadows the only one that walks beside me
My shallow hearts the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there would find me
Till then I'll walk alone

Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah
Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah

I'm walking down the line
That divides me somewhere in my mind
On the border line of the edge
And where I walk alone

Read between the lines of what's
Fucked up and everything’s all right
Check my vital signs to know I'm still alive
And I walk alone

I walk alone
I walk alone
I walk alone
I walk a...

My shadows the only one that walks beside me
My shallow hearts the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there would find me
Till then I'll walk alone

Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah Ahhh
Ah-Ah Ah-Ah Ah-Ah Ahhh

I walk alone

I walk alone

I walk this empty street
On the Blvd. of broken dreams
Where the city sleeps
And I'm the only one and I walk a..

My shadows the only one that walks beside me
My shallow hearts the only thing that's beating
Sometimes I wish someone out there would find me
Till then I'll walk alone!

Sunday 7 October 2007

AI final

พรุ่งนี้ (7 Oct) ก็สอบ AI แล้ว ไปติวกับน้องๆ ที่เรียนด้วยกันมาสองวันทีมหาลัย มีความมั่นใจขึ้นอีกเยอะ ข้อสอบคงยากเหมือนตอน midterm แต่ไม่กลัวคงมีไอเดียในการตอบบ้างเหมือนกัน เป็นวิชาเรียนตัวสุดท้ายของป.โทแล้ว ก็อยากปิดฉากด้วยเกรดที่ดีๆ หน่อย ได้เกรดเหมือนวิชาอื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็พอในแล้วล่ะ :) ถ้ามีน้องที่เรียนด้วยกันมาอ่านเจอ คงมีการหมั่นใส้กันเล็กน้อย แต่ความพิเศษของวิชานี้คือมีรางวัลแห่งความสำเร็จเล็กน้อยรออยู่ :) สาธุ!!! ขอให้ได้เหอะ

พรุ่งนี้มีเรียนเช้าแล้วสอบบ่าย แต่ตอนนี้ยังนอนไม่หลับ คงไม่อ่านต่อแล้วล่ะ เต็มกบาลแล้ว แต่มีบางเรื่องที่ทำให้เซ็ง ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ เซ็ง!!! เปล่า ไม่ใช่ลิเวอร์พูลหรอก ยังไม่เตะ เตะพรุ่งนี้ อาจจะได้ดูที่ร้านลาบ พรุ่งนี้สอบเสร็จแล้ว จะไปกินลาบที่ร้านไก่ย่างจักราช ร้านนี้อร่อยดี แต่คืนนี้สิทำยังไงให้นอนหลับเนี๊ยะ อืมๆๆๆๆๆ

อ่อ คิดออกแล้ว มีเต็มตู้เย็นเลย สักสองกระป๋องคงนอนหลับ Good night เด้อ บักต๋องขี้เหล้า

Friday 5 October 2007

Welcome Boy and Aoy

ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทั้งสองจ้า ในที่สุดก็มีคนหลวมตัวเข้ามามั่วกับเรา ฮ่าๆ ดีใจนะจะได้มีคนติดตามและช่วยกันเขียนเรื่องราวลงในบล๊อกนี่ จะได้ไม่เงียบเหงาเกินไป ถ้าว่างๆ ก็แวะเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวไว้ให้อ่านด้วยนะ ทั้งคู่นั้นแหละ

สำหรับบอยว่าที่พ่อคนใหม่ เห็นว่าซื้อหนังสือลูกรักมาอ่านแล้วนี่ ถ้ามีเกร็ดความรู้อะไรก็มาแบ่งปันที่นี่ก็ได้นะ และอีกอย่างที่ให้เขียนคือวิวัฒนาการของลูกในท้องโบว์ มีความเคลื่อนไหวเป็นยังไงบ้าง โบว์แพ้ท้องหรือยัง หรือมีอะไรเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นก็มาบันทึกลงในบล๊อกนี่ก็ได้นะ

ส่วนอ้อยสาวเสน่ห์แรงแห่งยุค หัวบันใดบ้านไม่เคยแห้ง รู้นะว่าตอนนี้กำลังมุ่งมั่นกับ thesis มีความคืบหน้าเป็นอย่างไรก็มาเล่าให้กันฟังบ้างนะ หรืออยากจะโม้อะไรเชิญเต็มที่ จะเป็นเรื่องมีสาระหรือไร้สาระก็ได้จ้ะ ตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสาวที่สวยทีสุดในบล๊อกแห่งนี้แล้วหล่ะ :)

ยินต้อนรับจ้า

Thursday 4 October 2007

Artificial Intelligence

ปัญญาประดิษฐ์ จะสอบวันอาทิตย์นี้แล้ว (7 Oct) ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย พรุ่งนี้ต้องไปติวให้น้องๆ ด้วย จะทันไหมเนี๊ยะ ยากจริงๆ วิชานี้ ประยุกต์ล้วนๆ โคตรปราบเซียนเลย

"ไม่มีปัญญาจะอ่าน วิชาปัญญาประดิษฐ์" เออ เข้าท่าดีแฮะ แหม ถ้าลิเวอร์พูลชนะเมื่อคืนนี้ ป่านนี้คงอ่านฉลุยไปแล้ว หาข้ออ้างไปอย่างงั้นแหละ ไปอ่านต่อดีกว่า ตอนนี้ยังอ่านอยู่ที่ที่ทำงาน อ่านเสร็จทันแน่นอนคืนนี้ :)

Just loss is not death

แพ้แค่นี้ไม่ถึงตาย เป็นคำปลอบประโลมให้กับตัวเองหลังเกมฟุตบอลระหว่างลิเวอร์พูลกับมาร์เซย์จบลง ด้วยผลที่เหนือความคาดหมาย

Liverpool 0-1 Marseille

ครับ แพ้แค่นี้ไม่ถึงตายหรอกครับ แต่แถวบ้านเรียกว่าโคตรเซ็ง เซ็ง เซ็ง แล้วก็เซ็ง หมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจ ทำอะไรทั้งสิ้น T_T ก่อนเกมก็อ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง ยากมาก เล็คเชอร์ที่จดมาก็อ่านไม่รู้เรื่อง อ่านไปด้วยความเครียด งงงวย แต่ก็พยายามที่จะอ่าน ตอนอ่านหนังสือก็หวังในใจว่า ฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลคืนนี้คงจะช่วยให้ ร่าเริง ปลอดโปร่ง ทำให้อ่านหนังสือได้ดีขึ้น แต่เปล่าเลยครับ หนักกว่าเดิม จบเกมไม่จับหนังสืออีกเลยครับ นอนก็นอนไม่หลับ :( จริงๆ วันนี้ไม่มีอารมณ์เขียนเท่าไหร่ แต่ได้รับปากไว้แล้ว ว่าจะมารายงานผลให้ทราบ บทความนี้จึงเขียนด้วยความชอกช้ำและความจำเป็น

ขอพูดถึงเกมเมื่อคืนอีกนิดนึง เป็นอีกครั้งที่ผมสงสัยในแทกติกของราฟา การเคลื่อนไหวของนักเตะภายในทีมทำได้แย่มาก ทั้งจังหวะที่ได้บอลและจังหวะที่เสียบอล ผมสังเกตมาหลายนัดแล้วครับ ภายใต้การทำทีมของราฟา นักเตะลิเวอร์พูลจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมกินโต๊ะบ่อยมาก ซึ่งมันแสดงถึงทีมเวิร์คและความเข้าใจเกมกันภายในทีม ที่มีน้อยมากในทีมลิเวอร์พูลยุคนี้ เอาไว้วันหน้าจะมาวิจารณ์ลิเวอร์พูลแบบเต็มๆ อีกที แต่วันนี้ขออนุญาตเซ็งก่อนครับ

เปลี่ยนเรื่องบ้างดีกว่า ตั้งใจจะให้บทความนี้เป็นไดอารี่ประจำวัน ถ้ามีแต่เรื่องลิเวอร์พูลเดี๋ยวจะกลายเป็นบทความเกี่ยวกับกีฬาไปซะ เมื่อวานได้นึกไว้ในใจ จะแบ่งกลุ่มของบทความในบล๊อกนี้ออกเป็นคร่าวๆ ดังนี้
  1. Begin อันนี้สงวนสิทธิ์สำหรับบทความเริ่มต้นอันเดียว ซึ่งคือเรื่อง Since 2 Oct 2007
  2. Diary เป็นบทความเกี่ยวกับไดอารี่ของตัวเองในแต่ละวัน แต่คงไม่ทุกวันแล้วแต่อารมณ์
  3. Memo เป็นบทความที่เกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น อย่างเช่นเรื่อง Boy's boy
  4. Sport เป็นบทความเกี่ยวกับกีฬา ที่ตัวเองสนใจอยู่ อยากเป็นคอลัมนิสต์บ้าง
  5. Aggie เป็นบทความเกี่ยวกับการเกษตร ซึ่งเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่และที่เคยเรียนมาตอนป.ตรี
  6. Computer เป็นบทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คงจะพูดถึงเรื่องเรียนและเรื่อง thesis ป.โท ที่กำลังจะทำอยู่ซะมากกว่า
  7. Politic เป็นบทความเกี่ยวกับการเมืองในบ้านเรา อยากวิจารณ์มานานแล้ว อิอิ ได้โอกาสล่ะ
  8. Friends เป็นบทความที่จะให้เพื่อนๆ เข้ามานำเสนอเรื่องราวต่างๆที่อยากจะแบ่งปัน เมื่อวานบอยบอกจะมาร่วมแจมในบล๊อกนี้ด้วย อยากให้คนอื่นมาร่วมเขียนด้วย เขียนคนเดียวเดี๋ยวจะมีแต่เรื่องราวเซ็งๆ

ก็เป็นกลุ่มของบทความที่คิดไว้คร่าวๆ แต่บางครั้งบางบทความอาจจะไม่สามารถแบ่งกลุ่มได้อย่างชัดเจน แต่ไม่เป็นไรไม่ซีเรียส เพียงแต่จัดกลุ่มไว้ จะได้ดูว่าเป็นคนที่มีหลักการ ทั้งๆที่ไม่ใช่ :)

วันนี้ก็หอบหนังสือมาอ่านที่ที่ทำงานเหมือนเมื่อวาน เอาไว้อ่านตอนบ่ายและช่วงเย็นก่อนกลับบ้าน ไม่อยากรีบกลับเพราะช่วงเวลาเลิกงานรถติดมาก วันนี้เย็นนัทจะโทรมาชวนไปกินข้าวเย็น เพราะอุ้ย (แฟนของนัท) มาที่กรุงเทพ แต่คงไม่ไป อ่านหนังสือไม่ทันจริงๆ ว่ะเพื่อน นัทก็เป็นแฟนลิเวอร์พูลเหมือนกัน ถ้าเจอกันก็คงทำหน้าเซ็งๆ ใส่กัน วันนี้ช่วงเช้า ได้รับโทรศัพท์จากสาวกผีแดง 2-3 สาย โทรมาเยาะเย้ยให้ช้ำใจ และคิดว่าคงมีโทรมาอีกเรื่อยๆ นอกจากโทรศัพท์เยาะเย้ยก็มี พี่ภพ เดอะค๊อปแห่งอ.ฝาง โทรมาตัดพ้อเหมือนกัน งานนี้เหล่า The Kop เซ็งกันเป็นแถบๆ เฮ้อ...

You'll never walk alone.

คุณจะไม่มีวันร้องไห้เดียวดาย T_T T_T T_T T_T T_T T_T T_T

Wednesday 3 October 2007

Boy's boy

เมื่อกี้ตอนกำลังกินข้าวเที่ยง บอย (เพื่อนรุ่นน้องเรียนป.โทด้วยกันที่ธรรมศาสตร์) โทรมาบอกด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้นระคนดีใจว่าโบว์ (แฟนของบอย) ท้องแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 Sep) บอยเล่าให้ฟัง กำลังลุ้นว่าโบว์จะท้องหรือเปล่า เพราะประจำเดือนโบว์ไม่มา 5 วันแล้ว รอลุ้นอีก 3 วัน ผมเคยแซวบอยไปหลายครั้งว่าเป็นพวกไม่มีน้ำยา ดังนั้นทุกเดือนที่มีการลุ้นว่าโบว์จะท้องหรือเปล่า บอยจะมาเล่าให้ฟังตลอด แต่ทุกครั้งที่ลุ้นก่อนหน้านี้ปรากฏว่าบอยแห้วตลอด ไม่สามารถลบคำสบประมาทได้ซักที จนกระทั่งครั้งนี้

ตัดกลับมาวันนี้ หลังจากครบ 8 วัน ซึ่งเป็นระยะปกติที่ประจำเดือนของโบว์จะมาช้าได้ ปรากฏว่าประจำเดือนของโบว์ก็ยังไม่มา โบว์จึงทดสอบด้วยชุดการทดสอบการตั้งครรถ์ ซึ่งก็ได้ข่าวดีอย่างที่บอกไว้ข้างต้น บอยบอกว่าดีใจมากจนหน้าแดง "ได้เป็นพ่อคนแล้วพี่ โทรมาบอกพี่เป็นคนแรกเลยนะ" ฟังเสียงแล้วก็รู้สึกดีใจกับบอยไปด้วย คำว่าครอบครัวคงจะถูกเติมเต็มสักที ด้วยลูกที่กำลังจะเกิดมา ตอนนั้นไม่รู้จะพูดอะไรดี ก็ได้แต่พูดบอกบอยไปว่า "ดีใจด้วย ต้องทำตัวใหม่แล้วนะ" คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ก็กำลังกินข้าวด้วยความหิวโซอยู่

วันนี้จึงได้บทความพิเศษเข้ามาในบล๊อก อีกหนึ่งบทความ ว่าแล้วเบิกค่าออกแบบโบชัวร์สินค้าของบริษัทไปให้บอยดีกว่า บอยออกแบบไว้ให้นานแล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ให้บอยซะที ถือเอาโอกาสนี้เอาเงินไปให้บอยรับขวัญหลานด้วยดีกว่า

ดีใจด้วย ไอ้น้อง

Sleep is like a death

หลับเป็นตาย คิดว่าหลายคนคงเคยเป็นอาการแบบนี้ เมื่อวาน (2 Oct) กลับไปถึงห้องพัก (ของคนจนๆ) ด้วยความเพลีย กะว่าจะนอนหลับพักผ่อนไปสักงีบใหญ่ๆ ก่อนแล้วค่อยตื่นมาอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เพื่อรอดูบอลด้วย เริ่มงีบไปตอนประมาณสี่ทุ่ม แต่คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมาหลายวัน ทำให้นอนหลับลึกและนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว เฮ้อ.. จึงไม่คิดอะไรมาก ขอนอนต่อดีกว่า zzzz ตื่นขึ้นทำงานอีกทีตอนเก้าโมงเช้า ตื่นมาด้วยความรู้สึกระปรี้กระเปร่าจริงๆ :) ดีแล้วที่นอนยาว ถ้าฝืนอ่านหนังสือดึกอีกหนึ่งคืน ก็คงอ่านไม่ค่อยเข้าสมองเท่าไหร่

เพราะเมื่อคืนหลับเป็นตาย ทำให้อ่านหนังสือช้าไปนิดหน่อย วันนี้ (3 Oct) จึงหอบหนังสือมาอ่านที่ทำงานด้วย ตอนบ่ายๆ น่าจะว่างอ่านหนังสือ และคืนนี้ก็จะอัดอย่างเต็มที่อีกรอบ รอดูบอลด้วย วันนี้ลิเวอร์พูลเตะด้วยสิ ไม่พลาดแน่ เจอกับมาร์เซย์ บอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก เล่นในบ้าน ฟอร์มอย่างนี้วันนี้คงได้เฮหลายครั้งด้วยกัน เพราะมาร์เซย์ทีมจากฝรั่งเศสคงไม่น่าต้านทานได้ ในทีมมาร์เซย์ก็คงจะมีแต่ซิสเซ่เด็กเก่าหงส์เท่านั้นที่พอจะสร้างความกดดันให้กับแนวรับลิเวอร์พูลได้ ที่นี่ก็ขึ้นอยู่กับความคมของแนวรุกลิเวอร์พูล ว่าจะทำสกอร์ได้มากน้อยเท่าไหร่ อิอิ ตอนนี้นั่งคิดในใจว่า ถ้าอ่านหนังสือได้ทันเวลา และลิเวอร์พูลชนะด้วยฟอร์มการเล่นอันสวยงาม มันคงจะดีไม่น้อย ผลเป็นยังไงพรุ่งนี้ จะมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ไปทำงานก่อนดีกว่า

Since 2 Oct 2007

สร้างบล็อคนี้ ขึ้นมาเพราะต้องการพื้นที่สักที่ไว้แสดงความคิดเห็น ระบาย เผยแพร่ หรือบันทึก อะไรก็ได้สักอย่าง เก็บไว้อ่านนานๆ แต่ไม่รู้จะทำได้นานแค่ไหน จะลองพยายามดู คงไม่มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจ และคงเขียนเรื่องราวได้ไม่น่าสนใจ เพราะเป็นคนเขียนไม่เก่ง แต่จะลองดู และลองดู คงไม่เสียหลาย แต่คงเสียน้อย ฮ่าๆ มีเล่นมุขด้วย :)

ชอบประโยคอยู่ประโยคหนึ่ง ที่คิดขึ้นเอง แต่ไม่รู้ไปตรงกับใครหรือเปล่า ชอบเขียนประโยคนี้ไว้ที่ปกในของสมุดทุกเล่มที่มี ประโยคนั้นคือ

"คิด ค่อย ค่อย อย่าง ค่อย ค่อย คิด"
.
คิดประโยคนี้ขึ้นมาไว้คอยเตือนตัวเอง อย่าทะนงตัว อย่าหลงระเริงมากเกินไป เพราะปกติเป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยประมาท คิดว่ากูแน่ กูเจ๊ง
ประโยคนี้เป็นประโยคที่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของปู่ ที่สุดแสนจะคลาสสิค คำนั้นคือ
.
"ดีอวด อย่า อวดดี"
.
ความหมายอาจไม่เหมือนกัน แต่หากดูดีๆ มีความนัยแฝงลึกๆ คล้ายกัน อันนี้คิดเอง และที่ชอบอีกอย่างของทั้งสองคำคือ เป็นคำที่มีการเล่นคำสะท้อนตัวเอง โดยเอาคำข้างหน้ามาสลับเรียงลำดับใหม่ แต่ยังได้ความหมายที่สมบูรณ์ ชอบๆ
.
แต่ต่อไปคิดว่าจะพยายามเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ ขอกระแดะ
สักหน่อย แต่คงมีผิดเยอะ ช่างมัน อยากเขียนอ่ะ ทำไม

บทความแรกไม่เขียนมากล่ะกัน เดี๋ยวบทความหลังๆ จะกดดัน