Wednesday 12 December 2007

The Longest Week - First Day - Start Trip

ก็ผ่านไปสำหรับสัปดาห์อันหฤโหดของผม เหนื่อย สนุก เจ็บ มันส์ คละเคล้ากันไป จะแบ่งเขียนตอนละวัน เขียนยาวเกินไปก็กลัวจะขี้เกียจอ่าน แต่ที่จริงแล้วเนื้อหาก็ไม่มีอะไรมากหรอก ทุกวันนั่งอยู่หน้าขวดเหล้าตลอด จบ ฮ่า

วันแรก (Dec 6) ต้องเดินทางขึ้นไปงานแต่งงานพี่ภพ ที่อ.ฝาง ผม กับ ไอ้บอมบ์นัดเจอกันที่บ้านไอ้นัท เริ่มเดินทางกันประมาณสามโมงเช้า แต่ต้องแวะทำธุระที่ธนาคารหลายที่ สิบเอ็ดโมงยังอยู่ที่นวนครอยู่เลย แต่ไม่ซีเรียสกันค่อยๆ เดินทางคงปลอดภัยกว่า พี่ตุ้ง พี่ตา รุ่น31 ก็โทรมาเช็คเรื่อยๆ ว่าถึงไหนกันแล้ว ทั้งคู่ได้ล่วงหน้าไปไกลแล้ว วันนั้นมีขบวนเดินทางไปหลายคัน ทั้งไอ้เบียร์ ไอ้บั้ม รุ่น33 และพี่โหน่ง รุ่น31

มาถึงนครสวรรค์ก็ประมาณบ่ายสอง ก่อนจะแวะกินข้าวอีกครั้ง ไอ้นัทมันขอแวะธนาคารอีกครั้งก่อน ก็นั่งรอกับไอ้บอมบ์ที่น่าธนาคาร เห็นร้านไส้กรอกอีสาน ท่าทางน่ากิน ก็เลยซื้อมานิดหน่อยเพื่อลองชิมดู ทั้งไส้เนื้อและวุ้นเส้น ปรากฏว่าอร่อยดี กินหมดถุงไอ้นัทยังไม่ออกมา บอกไอ้บอมบ์ซื้อมาอีกเยอะๆ เผื่อเอาไว้กินในรถด้วย มันก็ซื้อมากินถุงเบ้อเร่อ ก็นั่งรอไอ้นัทไปกินไป หมดอีกรอบ แต่คราวนี้อิ่มแล้ว อิ่มแบบแน่นท้องเลย เป็นจังหวะเดียวที่ไอ้นัทเสร็จธุระและออกมาพอดี มันบอกรีบไปหากินข้าวดีกว่ามันหิวแล้ว ผมกับไอ้บอมบ์มองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะ แล้วบอกมันว่าอิ่มแล้ว ก็เลยต้องไปนั่งรอไอ้นัทที่ต้องกินข้าวคนเดียว บอกแล้วเพื่อนกินหายาก

ผมกับไอ้นัทเปลี่ยนกันขับรถ แต่ส่วนใหญ่ไอ้นัทจะขับเพราะเอารถไอ้นัทไป ก็มาถึงเชียงใหม่ประมาณหนึ่งทุ่ม แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่ริมกันอีกรอบ ก่อนที่ขับขึ้นเขาอันคดเคี้ยวขึ้นฝางต่อไป มาถึงเชียงใหม่อากาศก็เริ่มหนาวเย็น และเริ่มเย็นขึ้นอีกเมื่อใกล้ถึงฝาง ระยะทางจากฝางถึงเชียงใหม่ก็ประมาณ 140 ก.ม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่งเพราะเส้นทางเป็นเขาคดเคี้ยวและอันตราย ช่วงนี้ เพื่อน พี่ และน้อง ที่ได้เดินทางไปถึงก่อนก็โทรตามเป็นระยะ อยากให้ถึงเร็วๆ โดยเฉพาะพี่ภพ เจ้าบ่าวของงานนี้รอกินเหล้ากับผมอย่างใจจดใจจ่อ

เกือบสี่ทุ่มพวกผมก็ถึงบ้านงาน มีพวกเราเกษตร ม.ช. อยู่กันเยอะมาก ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกัน งานนี้ต้องยกมือไหว้กราดเป็น 360 องศาเหมือนนักมวยเลยทีเดียว ทั้งยกมือไหว้รุ่นพี่ และรับไหว้รุ่นน้อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่น31 32 และ 33 ที่สนิทกันมากเมื่อตอนเรียนด้วยกัน ทั้งเมเจอร์พืชไร่ และสัตวบาล ก็ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันตาประสาพี่น้อง อย่างพี่อ้อย รุ่นพี่พืชไร่ ไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่เรียนจบ คราวนี้ก็หอบหิวน้องอัยย์ลูกสาววัย 5 ขวบมาเที่ยวด้วย พี่เจน รุ่นพี่อีกคนที่สนิทกันและไม่ได้เจอกันนานมาก มารอบนี้พี่เจนไม่ใส่แว่นแล้ว เปลี่ยนมาใส่คอนแทคส์เลน แต่ก็ยังดูน่ารักเหมือนเดิม

ระหว่างที่ทักทายกันอยู่นั้น แก้วเหล้าก็ถูกหยิบยื่นเข้ามาไม่ขาดสาย ชน หมดแก้ว ชน หมดแก้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บรรยากาศเก่าๆ ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เกษตร ว่าแล้วไอ้จอมก็หยิบกีตาร์โซโล โดยมีคนอื่นๆ ช่วยกันร้อง เพลงของคณะเกษตรก็ถูกนำมาเล่นกันอีกครั้ง โดยเฉพาะเพลงทะลึ่งๆ เช่น

“เทวดา หน้าอินทร์ หน้าพรหม จะสุขจะสม ช่างแม่มึงปะไร
ตัวกูไม่ใช่ตัวใคร ไทร์แล้วเอ็นใหม่ เรื่องอะไรของมึง
หนุ่มเกษตร น่ารักน่าชัง หนวดเครารุงรัง สังคังเต็มตัว
พยาบาลจะเอาเป็นผัว เกษตรเล่นตัว ไม่ยอมเป็นผัวพยาบาล...”


ก็ร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน เจ้าบ่าวเองก็เริ่มเมาได้ที ทำท่าจะไหล พวกเราก็เลยชวนกันไปกินต่อที่อื่น เพื่อที่จะได้ให้เจ้าบ่าวพักผ่อน จะได้พร้อมสำหรับงานวันพรุ่งนี้ พวกผู้ชายก็เคลื่อนขบวนไปกินเหล้าต่อ ส่วนกลุ่มผู้หญิงก็ไปพักผ่อนเช่นเดียวกัน พวกผู้ชายก็ไปต่อกันทที่เธคแห่งเดียวของฝาง คือ “ครัวหลวง” ชื่อไม่เหมือนเธคเลย แดนซ์กระจายครับ งานนี้ เต้นได้สุดสวิ้งดิ้งโก้มาก ตอนเช้าตื่นมาอีกวัน คอเคล็ดเลย ปวดเมื่อยไปหมด อย่างนี้ล่ะครับ “วัยคะนอง”

ตอนหน้า มาต่อกันด้วยงานแต่งงานของพี่ภพ

Wednesday 5 December 2007

Long Live the King

วันที่ 5 ธันวาคม ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง เป็นวันที่สำคัญยิ่งของคนไทยทุกคน ทั้งที่อยู่บนผืนแผ่นไทย และอยู่ส่วนอื่นทั่วโลก เป็นวันที่คนไทยมีความปลื้มปิติและมีความสุขอย่างที่สุด นั่นคือเป็น วันคล้ายพระบรมพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน หรือที่คนไทยทุกคนเรียกว่า “พ่อของแผ่นดิน” และปีนี้ก็เป็นปีมหามงคลยิ่งที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา

ในวโรกาสนี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งภาครัฐและเอกชน จะพร้อมใจร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองกันทั่วโลก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แสดงถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนไทยทุกคน ที่มีต่อพระองค์ท่าน โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่แล้วในวโรกาสครบรอบที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ครบ 60 ปี เป็นสองปีที่ได้เห็นภาพปวงพสกนิกรชาวไทยร่วมใจกันใส่เสื้อเหลือง ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ประจำพระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในใจของคนไทยทุกคน

ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงเสด็จออกมาเพื่อให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าชื่มชมพระบารมีร่วมกันถวายพระพรอยู่เสมอ และในแต่ครั้งก็จะมีประชาชนชาวไทยมาเฝ้ารอรับเสด็จกันอย่างเนื่องแน่น ทั้ง เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ที่มาจับจองบริเวณก่อนเวลา เพื่อที่จะได้เฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินผ่าน ชาวไทยทุกคนก็จะพร้อมกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เพื่อถวายพระพรให้แด่พระองค์ กันอย่างกึกก้อง และไม่ขาดสาย เป็นเวลายาวนาน

และในวโรกาสนี้ของแต่ละปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อประชาชนชาวไทยอยู่เสมอ เพื่อให้ประชาชนได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมใช้เป็นแนวทางในการทำงานและเป็นคติการดำรงชีวิต ในปีนี้เช่นเดียวกัน กับช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาความแตกแยก คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แก่งแย่งและมุ่งล้างแค้นกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติแก่คนไทยทุกคน ความว่า “สถานการณ์บ้านเมืองเราในทุกวันนี้ เป็นที่ทราบแก่ใจ ของเราทุกคนที่สุดแล้วว่า ไม่น่าไว้วางใจ พูดได้ว่า หากคนไทยขาดความสำนึกในชาติ ขาดความสามัคคี ก็อาจประสบเคราะห์กรรมกันทั้งชาติ จึงขอให้ทหารทุกคน และชาวไทยทุกคน ทุกหมู่ ทุกเหล่า ได้ พิจารณาตัดสินใจว่า ประเทศชาติของเรานั้นสำคัญ ควรที่เราจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนต่อไปหรือไม่ ถ้าเห็นว่าสำคัญ มั่นใจ ก็ขอให้สังวร ระวังกายใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์สุจริต พยายามลดอคติ และสร้างเสริมความเมตตาสามัคคีในกันและกัน ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้ยึดเอาความปลอดภัยของชาติเป็นที่หมายสูงสุด” เป็นพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านทรงแสดงออกถึง ความวิตกกังวล และความห่วงใย ต่อประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนไทย ของพระองค์ท่าน

ผมได้ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้ว ก็ได้แต่นึกเสียใจ สักกี่ครั้งกันแล้วเชียว ที่พระองค์ท่านต้อง ลำบากพระราชฤหัยกับวิกฤติในชาติบ้านเมือง วิกฤติที่เกิดจากประชาชนที่บอกว่ารักพระองค์ ก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้วิกฤติการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดีให้ประเทศไทยกลับมาปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปราศจากสิ่งใดๆ ที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญย์พระราชหฤทัย กับประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ เช่นที่ผ่านมา

และเนื่องในวโรกาสมหามงคลวัน เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีพลานามัยที่สมบูรณ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดกาลนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ