Tuesday 27 November 2007

A black knight on a golden Vigo

เรื่องต่อจาก It’s not easy to find some friends for drink

หลังจากที่ผมต้องเผชิญหน้ากับช่วงชีวิตที่ตกอับขั้นสุดขีด คือไม่มีเพื่อนคนใดมากินเบียร์กับผมเลย ทำให้จิตใจรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และสับสนวุ่นวายไปหมด :) “นี่เราไม่มีใครคบเลยเหรอ” ได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง “เหลือใครอีกว่ะ ที่ยังไม่ได้ชวน” ยัง... ยังไม่สิ้นความพยายาม...

“เช้าแล้วพี่ เหล้าก็หมดล่ะ ไปนอนกันเถอะ” ผมชวนอัศวินตัวดำของผม เข้าไปนอนหลับพักผ่อน หลังจากที่ดัมพ์กันมาเกือบค่อนคืน…

ขณะที่พยายามใช้ความคิดเพื่อเค้นหาเพื่อนที่จะชวนมากินเบียร์ด้วยกัน ทันใดก็นึกถึงชายคนหนึ่งเข้ามาในสมอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะบ้านพี่เค้าอยู่ที่ อ.ฝาง โน้นคงมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เอาน่าลองโทรหาแกดูสักหน่อย
“ว่าไง กูอยู่เชียงใหม่ มางานแต่งงานเพื่อน มึงจะขึ้นมาเหรอ”

ในใจนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันพูดอะไร แกก็พูดต่อว่า
“เฮ้ย ไปกินเหล้ากันที่ไหนดีว่ะ มึงหาร้านให้หน่อยดิ หาฟังเพลงเพื่อชีวิต เต้นกันมันส์ๆ นะโว้ย”

เด็ดขาดและชัดเจนจริงๆ สำหรับ ไตรภพ บุญคลี่ หรือ พี่ภพ รุ่น31 เป็นพี่เกลอที่แสนรู้ใจ รู้จักมาตั้งแต่ปี 38 เป็นรุ่นพี่ที่คณะเกษตรฯ อยู่หอเดียวกัน อยู่พืชไร่เหมือนกัน เล่นรักบี้ด้วยกัน และออกค่ายอาสาฯ ด้วยกันตลอด เหลือเพียงอย่างเดียว ยังไม่ตกเป็นของกันและกัน ฮ่า กับพี่ภพก็เคียงบ่าเคียงไหล่กินเหล้าด้วยกันมาอย่างยาวนาน จวบจนทุกวันนี้ ตลอดเวลาที่คบกันมาก็มีเรื่องฮ่าๆ กับแกตลอด ทั้งเรื่องไก่เคเอฟซีครั้งแรกในชีวิตผม หรือเรื่องรถติดหล่มที่บึงบอระเพ็ด แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟัง

เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของพี่ภพ ผมจึงเปลี่ยนแนวจากลานเบียร์เป็นผับเพื่อชีวิต และคงเป็นที่อื่นไม่ได้นอกจาก ร้าน “ตะวันแดง สาดแสงเดือน”
“มีร้านดี เหล้าดี มีเพื่อนดี มีดนตรี ดีด้วย... ช่วยไม่ได้ ต้องดื่มโลก... ดื่มเวลา... ให้สาใจ... ดื่มกันให้... ตะวันแดง... สาดแสงเดือน...”

พี่ภพเป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวดำสนิท ซึ่งผิดวิสัยของคนเหนืออย่างแรง วันนี้แกขับรถวีโก้สีทองคันใหม่มาอวดโฉมด้วย และไม่ได้มาคนเดียว พา น้องโอ ว่าที่เจ้าสาว ซึ่งจะแต่งงานกันวันที่ 7 ธ.ค. นี้ และพี่รา รุ่น31 อดีตครูสอนมวยผมมาด้วย แต่มาเจอกันคราวนี้พี่ราหมดสภาพนักมวยไปแล้วเรียบร้อย
ในค่ำคืนนี้เราสี่คนแดนซ์กันกระจาย โยกคอกันอย่างเมามันส์ ทั้ง คาราวาน คารบาว พงษ์เทพ พงษ์สิทธิ์ ซูซู มาลีฮวนน่า มากันอย่างครบครัน แต่เพลงที่โดนสุดๆ ต้องเป็นเพลงนี้ครับ
“เปรียบกับพี่ เป็นแค่ขอนไม้…” ฮ่าๆ ผมตะโกนร้องเพลงนี้เสียงดังมาก คงได้ยินไปไกลถึงไหนต่อไหน :)

หลังจากร้านปิด เราก็เคลื่อนย้ายขบวนไปกินกันต่อที่บ้านพี่สาวน้องโอ ที่สันทราย พี่รากินต่อไม่ไหว ก็ขอตัวไปนอนก่อน ส่วนน้องโอก็ขอพักผ่อนก่อนเช่นกัน จึงเป็น “สองพี่น้อง” ที่รู้ใจ ดัมพ์เหล้ากันเพียวๆ ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน กินกันจนกระทั่ง

“แสงตะวันสีแดง... สาดส่องไล่แสงเดือน... ที่กำลังลาลับ จากขอบฟ้าไป”

Monday 26 November 2007

It’s not easy to find some friends for drink

บางครั้ง เพื่อนกินก็หายาก...

วันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมามีธุระจำเป็นเกี่ยวกับหลานที่เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ทำให้ต้องขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่งแบบกระทันหัน ระหว่างที่ขับรถถึง อ.เถิน จ.ลำปาง ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มอากาศข้างนอกก็เริ่มหนาวเย็น จนต้องหรี่แอร์ในรถลงเพื่อคลายความหนาว บรรยากาศสองข้างทางมืดสนิทตา เห็นแต่แสงไฟของบ้านเรือนชาวบ้านระยิบระยับอยู่ไกลๆ ร่างกายก็ชักอ่อนเพลียเพราะขับรถมาไม่ต่ำกว่าสิบสามชั่วโมงแล้ว เนื่องจากต้องแวะทำงานมาด้วยตลอดทาง ก็คิดไว้ในใจว่าจะแวะหาอะไรกินสักหน่อยที่ตัวอำเภอเถิน ทำให้นึกถึงร้านกาแฟที่ไปแวะกินบ่อยๆ ซึ่งใกล้ๆ กันก็มีร้านข้าวแกงที่พอจะฝากท้องได้เหมือนกัน ขณะที่กำลังนึกเพลินๆ ทันใดนั้นก็..........

...ก็นึกขึ้นได้ว่า เดี๋ยว โทรไปชวนเพื่อนที่เชียงใหม่ ไปกินเที่ยวที่ลานเบียร์กันดีกว่า เพราะลานเบียร์ที่เชียงใหม่ ในช่วงฤดูหนาวจะมีเสน่ห์ดีนักแล...

อย่างที่บอกไว้ข้างต้นครับ เพื่อนกินไม่ได้หาง่ายเสมอไป หลังจากที่ตั้งใจว่าจะไปถล่มลานเบียร์ที่เชียงใหม่ จึงเริ่มทะยอยโทรหาเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ ทีละคน

เริ่มจากไอ้จอม ประธานรุ่น (แอบยึดอำนาจมา)
"กูก็อยากไปว่ะต๋อง แต่วันนี้พี่อ้อมมา และกูต้องเขียนโครงงานส่งที่ทำงานด้วย เอาไว้วันพรุ่งนี้ได้ไหมว่ะ กูอยากไปจริงๆ ลองชวนไอ้อ้อ ไอ้หมอ ดูดิ
นี่แหละ ลีลาของมัน แต่ก็เข้าใจมันอ่ะนะ แฟนมาหาทั้งที่ต้องให้เวลากันหน่อย

เหยื่อรายต่อไปดีกว่า ไอ้อ้อ ตัวเล็กดำ ผมหยิก แต่ดันใส่คอนแทกซ์เลนสีฟ้า ดูไม่จืดเลย
กูอยู่ที่ปายว่ะต๋อง กูเพิ่งขึ้นมาเมื่อวานนี้เอง อีกสองวันถึงจะกลับ มึงยังอยู่เชียงใหม่หรือเปล่าว่ะ จะได้ไปกินด้วย
เมิงปายทำเชี่ยอะไรที่ปายว่ะ กูขึ้นมาวันเดียวก็ต้องกลับแล้ว

ไม่เป็นไร ไอ้หมอน่าจะอยู่
ตู๊ด ๆ ๆ ๆ
ทำอะไรอยู่ว่ะ ไม่รับสาย

ลองชวน ไอ้ด๊อกเตอร์โจ๊กสิ ได้ข่าวช่วงหลังก็เริ่มกินเบียร์เหมือนกันนี่หว่า
ไม่ไป กูไม่ไป จะไปนั่งตากเหมย (หมอก หรือ น้ำค้าง) ให้หนาวทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบาย ไปซายูริสิ ถ้าไปซายูริ กูจะไปด้วย
ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังมีข้อต่อรองชวนไปเที่ยวอ่างอีกนะ ไอ้ด๊อกเตอร์เวร

เออๆๆ ไอ้เอก ไอ้เอกพวย ต้องว่างแน่เลย
หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
ไปอยู่ไหนของมันว่ะ

เฮ้อ... ได้แต่นั่งถอนหายใจไปขับรถไป ชวนใครอีกว่ะเนี๊ยะ อ้าว..ไอ้หมอ โทรกลับมาพอดีเลย
อ่อ เหรอ กูอยู่ที่จอมทองว่ะต๋อง เมียกูคลอดลูกเดือนที่แล้ว ก็เลยพาเมียมาอยู่บ้านแม่ยายที่จอมทอง มึงขึ้นมาเชียงใหม่เหรอ แล้วไม่มีใครว่างเลยเหรอ
อีกหนึ่งความหวังก็หลุดลอยไป พวกที่เหลือก็แต่งงานแล้วทั้งนั้น คงไม่โทรตามแล้วล่ะ

เซ็ง :(

Wednesday 14 November 2007

Khao Yai

“คือเขาใหญ่ ถิ่นไพรพนา ถิ่นสัตว์สาร่าเริง ล่องลอย มีเสรี มีเกสร ร่อนความงดงาม ตามความฝัน”...

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (Nov 12) มีโอกาสได้ไปเที่ยวเขาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย เพราะช่วงปลายฝนต้นหนาวบนเขาใหญ่อากาศจะดีมาก เดินทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ก็ไปแวะเที่ยวจุดเดิมที่เคยไป เริ่มจาก “น้ำตกเหวนรก” เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีลักษณะเป็นหน้าผาตัดลงมาและมีสายน้ำไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลาทำให้แลดูมีพลังมาก น้ำตกเหวนรกเป็นจุดท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงและทุกคนจะต้องแวะให้ได้ การไปน้ำตกเหวนรกต้องเดินเท้าเข้าไป ซึ่งไม่ไกลมากนัก แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เหนื่อยน่าดู โดยเฉพาะเวลาขาขึ้นมาจากน้ำตก ต้องเดินตามบันใดขึ้นมาก็ชันพอสมควร

หลังจากแวะที่น้ำตกเหวนรกแล้ว ก็ไปเที่ยวต่อที่ “ผาเดียวดาย” ชื่อผาฟังดูเหงามากและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บริเวณผาเดียวดาย ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นบริเวณที่อยู่ลึกลับต้องเดินเท้าเข้าไปเช่นกัน มีลักษณะเป็นหน้าผาหินโล่งซ่อนตัวอยู่ในป่า ที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีอากาศชื้นตลอดทั้งปี สังเกตได้จากคราบตะไคร้น้ำที่จับอยู่ตามโคนต้นไม้ มีมอส และมีเฟิร์น ขึ้นหนาแน่น อากาศวันนี้ก็เย็นสบายทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่สายลมพัดมาสัมผัสผิวกาย ทำให้ถึงกับสะท้านไปทั้งตัวได้เช่นกัน มีสายหมอกให้มองเห็นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว บนจุดชมวิวที่ผาเดียวดาย เราสามารถมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะมองเห็นความอุดมสมบรูณ์ของผืนป่าบนเขาใหญ่ ที่ยังความหนาแน่น ความยิ่งใหญ่ สมกับที่เป็น “มรดกโลก” จริงๆ

ต่อจากนั้นผมก็ไปแวะกินข้าวที่ทำการอุทยานเขาใหญ่ ซึ่งมีการจัดภูมิทัศน์ อาคาร สถานที่ บริเวณที่ทำการได้อย่างสวยงาม บรรยากาศยังกับต่างประเทศเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่กินข้าวก็จะมีกวางขนาดใหญ่หลายตัว เดินไปเดินมาเพื่ออวดโฉมให้กับนักท่องเที่ยว บางคนก็ถือโอกาสถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งหากใครคิดจะค้างคืนที่เขาใหญ่ก็สามารถติดต่อที่พักได้ที่นี้ มีทั้งบ้านพักเป็นหลัง เป็นห้องพัก และกางเต้นท์ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้พัก เพราะต้องเดินทางไปทำงานต่อ

หลังจากกินข้าวก่อนลงจากเขาใหญ่ ก็ไปเที่ยวที่ “น้ำตกเหวสุวัต” ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผาเหมือนน้ำตกเหวนรกแต่มีขนาดเล็กกว่า และการเดินเท้าลงไปน้ำตกก็ใกล้กว่า เมื่อลงไปก็เห็นกองถ่ายละครไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร มาถ่ายทำบริเวณน้ำตกด้วยเจอดาราสามสี่คน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่รู้จัก จึงถ่ายรูปน้ำตกสี่ห้าภาพแล้วก็เดินทางกลับ

หลังจากเดินทางลงมาจากเขาใหญ่ ก็ได้แวะกินสเต็กที่ร้าน “สเต๊กครูต้อ” รู้จักร้านนี้เมื่อคราวมาสัมนาของภาควิชาคอมพิวเตอร์ เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ชิมกระท้อนลอยแก้วแล้วติดใจ ไปกินที่อื่นก็ไม่เหมือนที่ร้านนี้ โอกาสนี้จึงแวะมาชิมอีกครั้ง ซึ่งยังคงความอร่อยเหมือนเดิม

Tuesday 13 November 2007

Charles’s Wedding

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Nov 10) ได้ไปงานแต่งงาน ไอ้ชาญ น้องรุ่น 33 ที่กำแพงเพชร งานนี้เกษตร มช. ไปกันหลายคนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็เฮฮาปาร์ตี้ สนุกสนานกันเต็มที่เหมือนเคย ผมก็ได้ขึ้นไปโชว์ลูกคอเหมือนทุกงานที่ผ่านมา เล่นเอาเสียงแหบไปสองสามวันเหมือนกัน เสียงดีก็อย่างนี้แหละครับ ถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงบ่อย :)

งานนี้ขับรถเดินทางไปจากกรุงเทพ ไปกับไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ต้องออกเดินทางตอนบ่ายโมง ทำให้ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตอนบ่าย ซึ่งอาจารย์มีแบบฝึกหัดให้ทำเก็บคะแนนด้วย ผมจึงวานให้หมิวช่วยทำให้ ปรากฏว่าพอเลิกเรียนตอนเย็นก็โทรมาบอกด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “พี่ต๋อง ขอโทษนะค่ะ ทำได้ 5 เต็ม 10 เองคะ” ก็ได้แต่กัดฟันบอกหมิวกลับไปว่า ไม่เป็นไรแค่ทำให้ก็ดีแล้วล่ะ ได้คะแนนเท่าไหร่ช่างมัน แต่ก็นึกในใจว่า ทำไมได้น้อยจังเลยหนอ (เว่าเล่นเด้อ)

ระหว่างเดินทางไปกำแพงเพชร ไอ้ดามพ์ กับไอ้ดานิเอล เพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งทำงานอยู่ที่นครสวรรค์ ก็ขอนัดเจอกันหน่อย โดยนัดเจอกันที่ร้าน “แซ่บอีหลี” ซึ่งก็สมกับชื่อของร้าน อร่อยจริงๆ ทั้งลาบเป็ด ก้อยเนื้อ ต้มแซ่บเครื่องใน ทำได้รสชาติแบบอีสานขนานแท้เลยทีเดียว ก็แวะกินกันอยู่พักใหญ่ หมดเบียร์ไปเจ็ดขวด ไอ้ดามพ์ ทำท่าจะสั่งเบียร์เพิ่มอีก ไอ้นัท เห็นท่าว่าเดี๋ยวจะยาวเกินไป จึงต้องเบรกไว้ก่อนเพราะยังต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะไปทันงานแต่งงาน

งานนี้ ไตรภพ บุญคลี่ รุ่นพี่รุ่น 31 ที่รู้จักกันและสนิทกันมานานแสนนาน ก็ได้สร้างวีรกรรมอีกแล้ว (เช่นเคย) คือหลังจากงานแต่งก็พากันไปกินเหล้ากันต่อที่ผับแห่งหนึ่ง ไปกันเกือบ 30 คนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง พอประมาณเที่ยงคืนผม ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ พร้อมกับน้องบางส่วน ก็กลับมาดูบอลกันต่อที่โรงแรมก่อน ตอนนั้นเห็น พี่ภพ ก็สนุกสนานดีอยู่จึงไม่ได้ชวนแกกลับด้วยกัน ปล่อยให้แกกลับน้องๆ คนอื่น จากนั้นประมาณตีหนึ่งกว่า ไอ้เชื้อ น้องรุ่น 35 ก็โทรมาบอกว่า “พี่ช่วยโทรหาพี่ภพให้หน่อย ไม่รู้ว่าแกหายตัวไปไหน” ผมก็โทรไตรภพอยู่ห้าครั้ง ไม่มีคนรับสาย แต่ก็บอกกับ ไอ้เชื้อ เอาไว้ถ้าหาไม่เจอยังไงก็ให้โทรมาผมบอกอีกที จะได้ออกไปช่วยหาอีกแรง เป็นห่วงแกเมาแล้วเป็นอย่างงี้ตลอด แต่หลังจากนั้น ไอ้เชื้อ ก็ไม่โทรมาอีก คิดว่าก็คงเจอกันแล้วพอบอลจบก็นอนหลับไปเลย

ปรากฏว่าตอนสายๆ วันรุ่งขึ้น พอออกมากินกาแฟกันที่หน้าโรงแรม เห็นไตรภพนั่งหน้าหงิก ทำท่างอนใส่ ก็ถามแกว่า เป็นไรพี่ ทำท่าไม่ยอมคุยด้วยอยู่พักนึง จึงซื้อเบียร์มาให้แกกิน แกถึงยอมคุยด้วย แล้วแกก็เล่าว่า พอแกไม่เห็นพวกผม ที่ออกมาดูบอลก่อน แกก็เลยออกมาโทรศัพท์ที่ศาลาหน้าผับ แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ตีสี่กว่าแล้ว ปรากฏว่าไม่เหลือใครเลย โทรมาหาผมก็ไม่ยอมรับสาย คิดว่าคงพึ่งใครไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเดินกลับมาที่โรงแรม กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะด้วยความสะใจและสมน้ำหน้าแก ก็ แหม!!! จากผับมาถึงโรงแรมก็เกือบห้ากิโล ไกลเหมือนกัน สงสัยจะลดน้ำหนักเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว และซ้อมเดินแห่ขันหมากไว้มั้ง 555

ไตรภพ บุญคลี่ แล้วเจอกันวันงานแต่งงานเด้อ (Dec 7)

Wednesday 7 November 2007

วิธีการคำนวณสูตรปุ๋ย

พอดีช่วงนี้ต้องคำนวณสูตรปุ๋ยบ่อยๆ จึงคิดว่าควรเขียนลงบล๊อกไว้ด้วยดีกว่า เผื่อจะมีประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป

ปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารหลักอยู่ 3 ธาตุด้วยกันคือ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ซึ่งจะแสดงไว้ในสูตรปุ๋ยเป็นลำดับของตัวเลขสามชุด เช่น 16-16-8 หมายถึงปุ๋ยเคมีที่มี ไนโตรเจน 16% มีฟอสฟอรัส 16% และโพแทสเซียม 8% ตามลำดับ และธาตุอาหารหลักทั้ง 3 ธาตุ สามารถได้จากแม่ปุ๋ยดังต่อไปนี้

ยูเรีย (Urea) 46-0-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุไนโตรเจน
แดป (Di-Ammonium Phosphate - DAP) 18-46-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุฟอสฟอรัส
มอป (Muriate of Potash - MOP) 0-0-60 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุโพแทสเซียม

หากเราต้องการนำแม่ปุ๋ยทั้งสามตัวมาผสมกันเพื่อให้ได้สูตร 16-16-8 จำนวน 100 กก. สามารถคำนวณได้ดังนี้

1. คำนวณหาปริมาณของ แดป ที่ต้องใช้

สาเหตุที่ต้องคำนวณหาปริมาณของแดปก่อน เนื่องจากแดปเป็นแม่ปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารมากกว่าหนึ่งตัว คือ ให้ทั้ง ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน
จากสูตรแม่ปุ๋ยของแดป 18-46-0 หมายความว่า แดป 100 กก. ให้ฟอสฟอรัส 46 กก. และให้ไนโตรเจน 18 กก.
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการฟอสฟอรัสเพียง 16 กก. ดังนั้นต้องใช้ แดป เท่ากับ (100 x 16)/46 = 34.78 กก.
แต่เนื่องจาก แดป มีปริมาณของไนโตรเจนด้วย ดังนั้นเราต้องคำนวณด้วยว่า ใน แดป 34.78 กก. จะมีไนโตรเจนเป็นปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
แดป 100 กก.ให้ไนโตรเจน 18 กก. ดังนั้น แดป 34.78 กก. จะให้ไนโตรเจน เท่ากับ (18 x 34.78)/100 = 6.26 กก.

2. คำนวณหาปริมาณของ ยูเรีย ที่ต้องใช้
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการไนโตรเจนเพียง 16 กก. แต่เนื่องจากเราได้ไนโตรเจนส่วนหนึ่งมาจากแดปแล้วคือ 6.26 กก. เราจึงต้องการไนโตรเจนเพิ่มเติมอีกเพียง 16 - 6.26 = 9.74 กก.
จากสูตรแม่ปุ๋ยของยูเรีย 46-0-0 หมายความว่า ยูเรีย 100 กก. ให้ไนโตรเจน 46 กก.
แต่ในขณะนี้เราต้องการไนโตรเจนแค่ 9.74 กก. ดังนั้นต้องใช้ ยูเรีย เท่ากับ (100 x 9.74)/46 = 21.17 กก.

3. คำนวณหาปริมาณของ มอป ที่ต้องใช้

จากสูตรแม่ปุ๋ยของมอป 0-0-60 หมายความว่า มอป 100 กก. ให้โพแทสเซียม 60 กก.
จากสูตร 16-16-8 เราต้องการโพแทสเซียมเพียง 8 กก. ดังนั้นต้องใช้ มอป เท่ากับ (100 x 8)/60 = 13.33 กก.

สรุป ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 เราต้องใช้แม่ปุ๋ยดังนี้
ใช้ ยูเรีย ปริมาณเท่ากับ 21.17 กก.
ใช้ แดป ปริมาณเท่ากับ 34.78 กก.
ใช้ มอป ปริมาณเท่ากับ 13.33 กก.
รวมแล้วเท่ากับ 69.28 กก. ซึ่งได้น้ำหนักรวมไม่ถึง 100 กก. ดังนั้นเราต้องเติมสารเติมเต็มหรือฟิลเล่อร์เข้าไปเพิ่มเติมอีก 100 - 69.28 = 30.72 กก. เพื่อให้ปุ๋ยมีน้ำหนักครบ 100 กก. ตามกำหนด

สารเติมเต็มหรือฟิลเล่อร์ คือ สิ่งที่ใช้เพิ่มเติมเข้าไปในปุ๋ยเคมีเพื่อให้น้ำหนักครบตามกำหนด ต้องไม่เป็นวัตถุที่มีผลกระทบต่อธาตุอาหารหลักทั้งสามตัว และต้องสามารถคลุกเคล้าเข้ากับแม่ปุ๋ยได้เป็นอย่างดี เช่น ดิน โดโลไมท์ ปูนขาว ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม เป็นต้น

วิธีการคำนวณข้างต้นดังกล่าว เป็นหลักการที่สามารถนำไปใช้ได้ แม้ว่าแม่ปุ๋ยที่นำมาผสมจะไม่ใช่แม่ปุ๋ยสามตัวที่ผมยกตัวอย่าง เนื่องจากปัจจุบันมีแม่ปุ๋ยมากมายหลายชนิดออกมาสู่ท้องตลาด และเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะแม่ปุ๋ยสามตัวหลักนี้ราคาได้ปรับขึ้นสูงมาก

Tuesday 6 November 2007

แม่เหียะ

ทางสู่แคว้น.. แดนเกษตร มิใช่เขต ปูไปด้วยดอกไม้
บนทาง... หยาดเหงื่อและแรงกาย ที่เราร่วมใจ จึงได้ผลมา

ดูท้องฟ้า ยังไม่ปราณี ธรณี ยังยิ้ม เยาะเรา
เย้ย เยาะหยัน ให้ใจหดหู่ ว่าเราจะสู้ หรือเรา จะตาย

อดทน... เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน
เกษตร อดทน เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน

จง.. หยุดความเพ้อฝัน แล้วมุ่งมั่น ช่วยกันสร้างสรรค์
ให้แม่เหียะ เป็นแดนตระการ เป็นวิมาน ของเราชาวเกษตร

ดูท้องฟ้า ยังไม่ปราณี ธรณี ยังยิ้ม เยาะเรา
เย้ย เยาะหยัน ให้ใจหดหู่ ว่าเราจะสู้ หรือเรา จะตาย

อดทน... เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน
เกษตร อดทน เกษตร ต้องอดทน อดทน... เกษตร ต้องอดทน

Aggie 32 meeting

สู้..... สู้.....
ซ่า..... ซ่า.....
เกษตร เชียงใหม่
Can you see?
Who are we?
Agricultra
ซ่า.....

ได้กลับไปบูมกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง สนุกดี เหนื่อยด้วย ฮ่าๆๆ

วันเสาร์ที่ผ่านมา (Nov 3) ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นเกษตร 32 ซึ่งไม่ได้จัดมาแล้วนานมาก ในที่สุดปีนี้ก็จัดขึ้นมาอีกจนได้ งานนี้ก็มีเพื่อนและผู้ติดตาม ทั้งที่เป็นสามี ภรรยา แล้วก็ลูกๆ รวมแล้วประมาณเกือบ 40 คน งานนี้จัดที่ร้าน Immortal แถวเกษตร-นวมินทร์ งานเริ่มคึกคักตั้งแต่เช้าเลย เพราะไอ้เชนมันทะยอยส่งข้อความเข้ามือถือทุกคนทุกๆ ห้านาที เล่นเอาข้อความล้นมือถือเลย ในงานไอ้เชนก็เลยถูกเพื่อนด่ายับ ส่วนที่บ้านไอ้นัท ซึ่งเป็นแหล่งพักพิงให้กับเพื่อนที่มาจากเชียงใหม่มี ไอ้จอม ไอ้อ้อ ไอ้จรัญ และยิ้ม ได้พักอาศัยกัน ก็เริ่มตั้งวงเหล้าตั้งแต่เที่ยง กินกันสนั่นหวั่นไหว และก็โทรมาชวนผมตลอด ก็ไปตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วล่ะ แต่ติดเรียนไปไม่ได้ เอาไว้กินตอนดึกที่เดียวเลยดีกว่า ต่อให้พวกมันไปก่อน

ไปถึงงานก็ประมาณหกโมงเย็น มีเพื่อนเพิ่งไปถึงไม่กี่คน งานนี้หมีมากับพี่ยุทธเหมือนเคย แต่ไม่พาน้องแมมมอธมาด้วย กะว่าจะสนุกเต็มที่ ไปถึงก็ร้องเพลงก่อนเลยตอนที่ยังไม่มีใครมาแย่ง เดี๋ยวจะไม่ได้ร้อง แล้วก็คุยกับไอ้เชนเรื่องพิธีการคร่าวๆ เพราะงานนี้ผมต้องเป็นพิธีกรด้วย (อีกแล้ว) พอสักหนึ่งทุ่มเพื่อนก็เริ่มมากันเยอะขึ้น ขบวนวงเหล้าจากบ้านไอ้นัทก็มาถึง ส่งเสียงคึกคักมาแต่ไกล เมากันได้ที่มาเลย ประกอบด้วยไอ้จอม ประธานรุ่น (ยึดอำนาจมาจากไอ้ยักษ์อีกที) ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ไอ้อ้นลาว ไอ้อ้อ และยิ้ม ทำให้งานคึกคักทันตาไม่รู้ใครเป็นใครโวยวายโหวกเหวกมาก เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วก็มากันเยอะ อย่างไอ้กี ด๊อกเตอร์จากเยอรมันก็มา ไอ้ตู่ จากประเทศลาว ก็มา เพิ่งรู้ว่ามันมาเรียนต่อโทในไทยที่ AIT ข้างๆ ธรรมศาสตร์นี่เอง ก็เลยบอกมันว่าว่างๆ จะไปแวะกินข้าวด้วย ไอ้อ้นดำ หรือน้าเน็กในเวอร์ชั่นดำก็มา ไอ้ต้อ อาจารย์ที่ม.ศิลปากร ก็นำขบวนเพื่อนๆ ที่นครปฐมมาเสริมตอนเกือบสามทุ่ม

ผมก็เริ่มพิธีการด้วยการกล่าวต้อนรับเพื่อนๆ ที่มาในงาน และแนะนำโต้โผที่จัดงานนี้ขึ้นมา ทุกคนก็ปรบมือให้เพื่อนที่ร่วมกันจัดงานนี้ให้เกิดขึ้นมาได้ จากนั้นก็ให้ไอ้จอมประธานรุ่น (ย้ำอีกทีมันแอบยึดอำนาจมาและสถาปนาตัวเองขึ้นเอง ไม่มีใครเสนอมันเลย 555) ได้กล่าวเปิดงานและบอกเกี่ยวกับกิจกรรมของรุ่นที่จะดำเนินในโอกาสต่อไป หลังจากไอ้จอมพูดเสร็จ ที่นี้ผมก็ดำเนินการต่อ ด้วยการเช็คชื่อเพื่อนทั้งหมด ใครที่ไม่มาในงานนี้ก็จะเพื่อนที่รู้จัก อัพเดตให้ฟังว่าเพื่อนคนนั้นทำอะไร อยู่ที่ไหน เพื่อจะได้ทราบข่าวกันถ้วนหน้า ส่วนเพื่อนมาในงานก็จะเชิญให้มาพูดข้างหน้า เพื่อให้ผมได้สัมภาษณ์ ประมาณว่า อยู่ที่ไหนทำงานอะไร แต่งงานหรือยัง ลูกกี่คนแล้ว หลังจากนั้นผมก็จะแฉความหลังของแต่ละคนไป เช่น ใครเคยเป็นกิ๊กกับใครบ้าง ใครทิ้งใครบ้าง ใครแอบปลื้มใครบ้าง งานนี้ผมเผาซะละเอียด เล่นเอาสะดุ้งกันเป็นแถวโดยเฉพาะพวกที่พาแฟนมาด้วย ฮ่าสุดๆ ตอนท้ายถึงคิวผมบ้างก็เลยโดนเอาคืนเยอะเหมือนกัน

พอสี่ทุ่มผมก็เชิญเพื่อนๆ ร่วมร้องเพลง แม่เหียะ กัน โดยได้ปิดไฟในงานทั้งหมดและจุดเทียนเพื่อเสริมบรรยากาศกัน เพลงแม่เหียะ เป็นเพลงประจำคณะเกษตรฯ มช. เมื่อได้ยินเพลงนี้ทุกคนจะต้องยืนตรงเหมือนเคารพเพลงชาติ จะถูกร้องในงานหรือกิจกรรมของคณะ เพลงแม่เหียะกล่าวถึงความทุกข์ยากของรุ่นพี่ที่ก่อตั้งคณะเกษตรฯ ขึ้นมา ซึ่งในช่วงก่อตั้งคณะเมื่อ 40 ปีที่แล้วนั้น มหาลัยได้มอบที่ดินบริเวณหมู่บ้านแม่เหียะเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ให้เป็นแปลงทำการเพาะปลูกคณะเกษตรฯ เราจึงเรียกกันว่า “ไร่แม่เหียะ” แต่เมื่อ 40 ปีก่อนนั้นไร่แม่เหียะเต็มไปด้วยความทุรกันดาร พวกรุ่นพี่จึงต้องเข้าไปถากถางปรับปรุงด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้เป็นไร่แม่เหียะที่สามารถใช้ทำแปลงเกษตรและสวยงามอย่างปัจจุบัน และเด็กเกษตรทุกคนจะต้องเข้าไปฝึกงานที่ไร่แม่เหียะอย่างน้อยคนละ 1 เดือน เดี๋ยววันหลังจะมาเล่าเรื่องฝึกงานในไร่แม่เหียะให้ฟัง สนุกดี กลับเข้ามาเรื่องงานเลี้ยง ช่วงร้องเพลงแม่เหียะ ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในห้องเชียร์อีกครั้ง ถึงกับขนลุกเลย เป็นเพลงที่ขลังจริงๆ ได้ร้องได้ยินแล้วรู้สึกมีพลังขึ้นอีกเยอะ

หลังจากร้องเพลงแม่เหียะจบเราก็บูมคณะกันอีกสามรอบ ถึงกับหน้ามืดเหมือนกัน 555 ไม่ฟิตเหมือนเมื่อก่อน เนื้อเพลงบูม ก็ตามที่เขียนไว้ข้างบน บูมของคณะก็มีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่เหลือก็จะเป็นแนวลามกๆ จะมีเป็นทางการก็เวอร์ชั่นนี้แหละ เมื่อบูมเสร็จก็สนุกสนานกันต่อ ถ่ายรูป ร้องเพลง กินเหล้า แต่คาราโอเกะที่นี่ไม่ค่อยจะดีเลย เพลงขึ้นช้า ขอไปก็ไม่ได้หลายเพลง ทำให้งานกร่อยไปเยอะเหมือนกัน

พวกเรากินกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเที่ยงคืนก็ทะยอยกันกลับ ส่วนพวกขี้เหล้าอย่างผม ไอ้นัท ไอ้จอม ไอ้บอมบ์ ไอ้อ้อ ไอ้อ้นลาว ก็สู้กันต่ออย่างไม่มียั้ง พอร้านจะปิดเราก็ย้ายวงไปกินเหล้าต่อที่บ้านไอ้นัท กว่าจะเลิกก็ตีสี่มันส์จริงๆ ขนาดคนที่ไม่ได้มากินด้วยก็ถูกโทรลากเข้ามาร่วมวงด้วย 555

ยัง ยังไม่จบ งานเลี้ยงของพวกผมไม่เคยเลิกลาง่ายๆ เคยไปแต่งงานเพื่อน กินตั้งแต่ก่อนวันงานจนกระทั่งงานเลิกไปแล้ว เจ้าภาพเก็บเต้นท์เก็บโต๊ะส่งคืนเจ้าของหมดเรียร้อย พวกผมก็ยังกินกันไม่เลิกเลย งานนี้ก็เหมือนกัน วันอาทิตย์ (Nov 4) หลังจากผมไปเรียนเสร็จ (ยังอุตส่าห์ฝืนไปเรียนได้ อาจารย์ยังถามเลยว่า “พีระศักดิ์เมาค้างมาเหรอค่ะ” สภาพคงสุดๆ แหละ) ก็กลับมาแวะที่บ้านไอ้นัท มาปลุกเพื่อนพวกที่จะกลับเชียงใหม่เย็นนี้ ก่อนจะจากกันก็ต้องสั่งลากันหน่อย ว่าแล้วก็ปั่นจักรยานไปซื้อเหล้ามากินกันอีก จนแม่ค้าร้านเหล้าถามว่าตั้งแต่บ่ายเมื่อวานยังไม่เลิกกันอีกเหรอ ก็ได้แต่หัวเราะ แฮะๆ ให้แม่ค้า ซื้อจนเหล้าหมดร้านค้าอ่ะ แม่ค้าก็เลยบอกเดี๋ยวเอามาส่งที่บ้านก็แล้วกัน ไอ้จอมเมาแล้วติดลม ก็โทรไปขอเลื่อนรถจากหนึ่งทุ่มเป็นสามทุ่ม ใจรักจริงๆ กว่าจะถึงเวลากลับก็ซัดเหล้าไปกันอีก 5 ขวด สมาชิกที่กินก็เดิมๆ ผม ไอ้นัท ไอ้บอมบ์ ไอ้จอม ไอ้อ้อ และไอ้จรัญ เมา เมา แล้วก็เมา 555

เออ ลืมไป วันที่ 4 พ.ย. เป็นวันเกิดน้องสาว มัวแต่เมาอยู่ไม่ได้โทรไปเบิรท์เดย์มันเลย Happy Birthday ก็แล้วกันเด้อ วิ